
พระมหากัสสปะนิพพาน
———————
ลองอ่านดูมาถึงตอนท้ายที่พูดถึงพระศรีอาริย์ให้ทำมาลิกเจดีย์สวมพระธาตุพระมหากัสสปะ มาลิกเจดีย์นี้ใช้กันกว้างขวางในภาคใต้ เป็นชื่อคัมภีร์นามของพระธาตุนครซึ่งยืมจากสุวรรณมาลิกมาอีกที ใช้เป็นคำเรียกพระจุฬามณีเจดีย์ เรียกพระสถูปประธานบนเขาพะโคะ แล้วก็เจอในบุดวรรณกรรมเนือง ๆ เรียกเจดีย์สำคัญ ในบทบาลีใช้แค่คำว่า ถูปํ เฉย ๆ มหากัสสปนิพพานแปลสำนวนนี้อาจจะเป็นสำนวนของภาคใต้สมัยอยุธยาก็ได้ครับ เอกโท จำเมฺริญ บำเมฺรอ ตัวควบ มฺร ดูก็ใช้เหมือนกับสำนวนนครในบุดสมัยรัตนโกสินทร์ แค่ว่าที่คัดมานี้คัดแบบไทยปกติเพราะว่าทำได้ไวดี ส่วนเนื้อหาทั้งหมดดูไม่มีแปลกเกินมาจากบาลีพระสาวกนิพพานเลยครับ
———————
…ฯ อันดับนั้นอันว่ามหาชนทั้งหลายทั้งปวงครั้นแลได้ยินพระราชโองการแห่งสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถามดังนั้นไซร้ มหาชนทั้งหลายก็ทูลว่าดังนี้ว่า เทวะ ข้าแต่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า อันว่าพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นอุปัชฌาย์แห่งพระองค์เจ้านิพพานอยู่ในรากเขาทั้งสามนี้แลพระเจ้าข้า
ฯ อันดับนั้น อันว่าสมเด็จพระญาอชาตศัตรูครั้นแลได้ยินถ้อยคำแห่งอำมาตย์ทั้งปวงทูนดังนั้นไซร้ จึงสมเด็จพระญาอชาตศัตรูจึงมาพินิจพิจารณาด้วยปัญญา ธ มารำพึงจินตนาว่าดังนี้ว่า นุโข ดังกูรำพึงแลหนอ อันว่าอาตมาภาพแห่งกูจักอาจสามารถเพื่อว่าบูชาซึ่งสรีระซากศพแห่งพระอุปัชฌาจารย์แห่งกูด้วยอุปายดังฤๅ
แลพระมหากระษัตริย์เจ้าก็มีหัวเนื้อหัวใจประดุจดังจะแตกจะทำลายได้แลเจ็ดภาค ด้วยความเศร้าโศกเป็นเหลือกำลังด้วยมารำพึงว่าดังนี้ว่า อุปาโย อันว่าอุปายแห่งกูนั้นก็หาบมิได้เท่าเว้นไว้แต่ความสัจจกิริยา ปัพพโต อันว่าภูเขามีในสถานที่ใด สมเด็จเจ้าอชาตศัตรูก็ตั้งลงซึ่งหัวเข่าทั้งสองเหนือพื้นปฐพีดลแล้วก็กราบกรานทานนุพัตลงด้วยปัญจางคประดิษฐ์ห้าประการแล้วก็ยอพระกรทั้งสองขึ้นเหนือเกษเกล้า แล้วกระทำความสัจจกิริยาร้องสัจจาธิษฐานด้วยพระเศียรว่าดังนี้
โภนฺโตเทวตาโย ดูกรชาวเจ้าหมู่เทวดาทั้งหลายทั้งปวงจงมาฟังซึ่งถ้อยคำแห่งตูข้าพระเจ้าอันมีความรักใคร่สเน่หาในพระอุปัชฌาจารย์ผิแลมีดังนี้ไซร้ แลจงภูเขาทั้งสามนี้ไซร้จงมาแตกแยกกันออกไปในกาลบัดนี้เล่าเถิด
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้น อันว่าภูเขาทั้งสามก็แตกแยกออกไปประดุจดังแก้วอินทนิลแลแก้ววิเชียรอันประเสริฐล้ำเลิศมหิมาด้วยกำลังสัจจาธิษฐานแห่งพระอริยกัสสปะเจ้านั้นก็ดี ด้วยสามารถความสัจจาธิษฐานแห่งพระเจ้าอชาตศัตรูก็ดี ก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้น อันว่ามหาชนบุคคลทั้งหลายทั้งปวงครั้นแลเห็นอัศจรรย์ดังนั้นไซร้ มหาชนทั้งหลายทั้งปวงก็ทำซร้องสาธุการได้แลแสนแลมิอาธิครือโบกโบยผ้าแลบูชาด้วยธงเงินแลธงทองแลแก้วมุกดาหารก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อันดับนั้น อันว่ามหาชนทั้งหลายทั้งปวงก็มีหัวใจอันเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีก็มายอกรชุลีโบกโบยผ้าร้องซร้องสาธุการด้วยสัจวาจาว่าดังนี้ ว่า อโห โอ้หนอ อฉฺฉิรยํ อันว่าอัศจรรย์บ่ห่อนจะบังเกิดมีแต่ในกาลก่อนแลมาบังเกิดมีในครั้งคราทีนี้ก็บังเกิดอัศจรรย์ยิ่งล้นพ้นนักหนาแลชนาชนบุคคลหญิงชายทั้งหลายทั้งปวงกระทำร้องซร้องสาธุการแก่พระอริยกัสสปะก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้น อันว่าสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูจะมาทอดพระเนตรเล็งแลเห็นซึ่งซากศพแห่งพระอริยกัสสปะอันประดิษฐานอยู่เหนือเตียงอันเป็นแท่นนอนแลมีหมู่เทวดาอยู่พิทักษ์รักษาบังเกิดอัศจรรย์ยิ่งล้นพ้นนักหนา แลสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นโสต ก็มีน้ำพระกมลหฤทัยอันหวั่นไหวไปมา แลมีพระเนตรทั้งสองอันนองไปด้วยน้ำตาอันปฤติไหลลงมาบ่มิขาดน้ำตาบัดเดี๋ยวหนึ่ง พระมหากระษัตริย์เจ้าก็เสด็จพระราชดำเนินร่างขึ้นมากราบกรานทานพัตลงแทบบาทบาทาแห่งพระอริยกัสสปะแล้วก็ไหว้วันทนาแล้วก็บูชมบูชาด้วยเครื่องบรรณาการทั้งหลายทั้งปวง
มีอาธิครือว่าเศวตรฉัตรแลธงไชย แลธงกระดาษแลพัดโบกจามรจามรีแลผ้าม่านแลเพดานทั้งปวงแลมีธูปเทียนชวาลาแลข้าวตอกดอกไม้เงินแลไม้ทองแลจุณจันทน์แลของหอมเปนต้น แลพระมหากระษัตริย์เจ้ากระทำบูชาซึ่งบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะด้วยของหอมแลน้ำมันจันทน์แก่นจันทน์ดอกไม้เงินทองอันได้แลพันแลแก้วอันกำหนดค่าบ่มิได้ก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อันว่าสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูกระทำสักการะบูชาอันมากแก่บรมศพแห่งพระอริยกัสสปะสิ้นประมาณเจ็ดวันเจ็ดคืนก็มีด้วยประการดังกล่าวมานี้แล
ฯ อันดับนั้นแม้นอันว่าเทวดาแลมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงก็มาเล่นงานมหรสพมีอาธิครือว่าขับแลรำ บำเรอพักตร์บรมศพแห่งพระอริยกัสสปะก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อถ อันดับนั้นอันว่าภูเขาทั้งสามนั้นก็มาอ่อนน้อมค้อมซึ่งยอดเขามามั่วสุมประชุมนุมกันเข้าเป็นแท่งหนึ่งแท่งเดียวด้วยกันก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้น อันว่าสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูกับด้วยมหาชนทั้งหลายทั้งปวงเมื่อแลมิได้เห็นซึ่งบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะอันภูเขาปิดปกไว้แลมีปริมณฑลประดุจดังปริมณฑลแห่งพระอาทิตย์เมื่ออัศดงตกต่ำลงไปดังนั้นไซร้ แลพระมหากระษัตริย์เจ้าก็มีหัวเนื้อหัวใจประดุจดังจะแตกจะทำลายก็มาทรงกรรแสงร่ำไรร้องไห้แลมีพระเนตรทั้งสองอันนองไปด้วยน้ำตาเหตุว่ารักพระอริยกัสสปะก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้น อันว่ารี้พลสกลโยธาทั้งหลายทั้งปวงก็มาทรงกันแสงร่ำไรร้องไห้เป็นโกลาหลเป็นอันมากนักหนาก็มีในกาลบัดนั้นแล
ฯ อถกาเล ในกาลเมื่อนั้นอันว่าสมเด็จพระเจ้าอชาตศัตรูจึงจะมากระทำบูชาไหว้วันทนาขอสมาโทษแก่บรมศพแห่งพระอริยกัสสปะสำเร็จเสร็จแล้วพระมหากระษัตริย์ก็เสด็จพระราชดำเนินบทจรกลับคืนเข้าไปยังพระนครบวรราชธานีกับด้วยมหาชนทั้งหลายก็มีในกาลบัดนั้นแล
ฯ อันดับนั้นอันว่าซากบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะก็มาประพฤติตั้งอยู่ตราบเท่าเถิงกาลบัดนี้แล เมื่อใดพระอาริยเมตเตยบรมพระโพธิสัตว์ลงมาดำรัสในโลกนี้ไซร้ คราทีนั้นแล อันว่าซากศพแห่งพระอริยกัสสปะนั้นก็มิได้เรี่ยรายกระจัดกระจายก็จะมามั่วสุมประชุมนุมกันเข้าเป็นแท่งหนึ่งแท่งเดียวกัน ก็จะพึงมี ณ กาลขณะนั้นแล
ฯ ในเมื่ออนาคตกาลจะมาภายภาคหน้า อันว่าพระศรีอาริยเมตเตยบรมโพธิสัตว์เจ้าลงมาดำรัสตรัสในโลกนี้เมื่อใดไซร้ คราทีนั้นไซร้พระพุทธศรีอาริย์เจ้าก็จักยกบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะตั้งลงเหนือผืนฝ่าพระหัตถ์แล้วแลคราทีนั้นไซร้อันว่าช่องแถวแนวไฟก็จุดขึ้นมาแต่ซากบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะก็จะไหม้เอาซึ่งซากบรมศพ ก็มีในกาลขณะนั้นแล
ฯ ประการหนึ่งโสต อันว่าพระศรีอาริยเมตเตยครั้งแลเผาแล้วซึ่งพระบรมศพแห่งพระอริยกัสสปะสำเร็จเสร็จแล้ว จึงพระพุทธศรีอารย์เจ้าก็จะยังชนาชนบุคคลทั้งหลายทั้งปวงให้กระทำมาลิกไจดีย์สวมบรมธาตุแห่งพระอริยกัสสปะใว้ในสถานที่นั้นเป็นบูชมบูชาแก่เทวดามานุษย์ทั้งหลายทั้งปวงก็มีในกาลขณะนั้นแล ฯ