กระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุ : คำบรรยายลักษณะแห่งพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช จากเอกสารสมัยอยุธยา

แบบพระบรมธาตุเขียนขึ้นใหม่โดยใช้ภาพประกอบจากบทความ มรดกพุทธศิลปสถาปัตยกรรม วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช อ.ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และดร.นันทวรรณ ม่วงใหญ่ (โปรดดู : http://www.tci-thaijo.org/…/NAJUA-Arch/article/view/44340)

    ส่วนหนึ่งของ การสังเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารโบราณ มรดกความทรงจำ และประวัติศาสตร์แห่งเมืองนครโครงการปริวรรตเอกสารปฐมภูมิประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช โดยพระครูเหมเจติยาภิบาล วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช (โสภิต แซ่ภู่)

( Download : https://goo.gl/dIHfXd )

    กระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นคำอธิบายว่าด้วยลักษณะ และองค์ประกอบแต่ละส่วนของพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช ที่มีการคัดลอกกระจายอยู่ในเอกสารโบราณหลายชิ้น รวมถึงการคัดลอกเผยแพร่ในยุคสมัยอันใกล้ เช่น ในชีวิวัฒน์ ซึ่งคัดกระบวนพระบรมธาตุเจดีย์มาได้ครบถ้วน แต่เพิ่มเติมรายละเอียดบางประการเข้ามา ทั้งนี้เป็นการดีกว่าหากเราจะเริ่มต้นโดยการย้อนกลับไปทำความเข้าใจเนื้อหาส่วนที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดก่อน

    ข้อคัดลอกเก่าที่สุดของกระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุ ปรากฏอยู่ท้ายสมุดพระตำราเจดีย์เมืองนครสมัยอยุธยาปลาย ต่อจากรายการแบ่งหน้าที่ดูแลพระระเบียงล้อมพระบรมธาตุแก่บุคคลกลุ่มต่าง ๆ ก่อนหน้ารายละเอียดของพิธีทำขวัญพระธาตุในเดือน 6

    คำว่า กระบวน ปรากฏอยู่ในเอกสารอยุธยาหลายเล่มที่พบในภาคใต้ หมายถึงคำพรรณาแจกแจงลักษณะต่าง ๆ ดังจะพบในเรื่องแทรกต่อจากพระตำรากัลปนาเมืองพัทลุง อาทิ

    “…และนิมนต์พระมหาอโนมทัสสี ให้ไปเอากระบวนพระมหาธาตุเจ้ามาแต่เมืองลังกา และมาก่อพระศรีรัตนมหาธาตุเจ้าสูงเส้นหนึ่ง…”

    กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระยาธรรมรังคัลเจ้าเมืองพัทลุง ส่งพระมหาอโนมทัสสีเดินทางไปจดกระบวนพระมหาธาตุเจดีย์จากลังกา คำว่าเอากระบวนในที่นี้ อาจเทียบได้กับศัพท์ช่างภาคกลางว่า ถ่ายอย่าง หรือถ่ายแบบ รวมถึงเมื่อพระเถระองค์ใดได้สร้างวัดขึ้น ทั้งวิหารเจดีย์ แล้วเสร็จ ก็จะจดกระบวนของสิ่งก่อสร้างทั้งหลายในวัดขึ้นไปขอพระราชทานกัลปนาที่ดิน และข้าพระจากอยุธยา มีตัวอย่างอยู่หลายสิบครั้งอาทิ “…อยู่มาเล่าไซร้ พระครูธรรมรังสีรามเจ้าทำพระไพหาร ตำบลวัดเบิก และเอากระบวนเข้าไปพระนครศรีอยุธยา แลเบิกญาติโยมแลไร่นาโตนดต้นตาลผลารามิสที่ภูมิสัด ให้ออกจากส่วยหลวง แลมีพระตำราโกษาธิบดีมาไว้ ฯ ๙ ฯ”

    กระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้เก็บรักษาความทรงจำเกี่ยวกับพระบรมธาตุครั้งโบราณไว้อย่างมากมาย ปรากฏศัพท์พื้นถิ่นที่น่าสนใจเช่น การเรียกบัลลังก์ของเจดีย์ว่า เหม ซึ่งยังไม่พบว่าปรากฏในเอกสารอื่น เรียกยักษ์เฝ้าประตูว่า นนทยักษ์ คำนี้ใกล้เคียงกับชื่อ นนทรีย์ ที่ใช้เรียกรูปเฝ้าประตูทางเข้าที่ตกค้างอยู่ในวรรณกรรมสมัยอยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์ (ปูนปั้นยักษ์ขนาบข้างประตูวิหารวัดจำปา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็เรียกว่า นนทรีย์) เรียกฐานช้างล้อม หรือหัตถีปราการ ว่า ฐานช้างล่อหัว คือฐานที่มีช้างโผล่(ล่อ)หัวออกมา (ทั้งนี้ ชื่อ ฐานช้างล่อหัว น่าจะเป็นศัพท์ช่างใช้เรียกฐานช้างล้อมในกลุ่มช่างนครด้วย เนื่องจากในตำนานพระเจ้าศรีธรรมาโศกสร้างวัดท่าช้าง ก็ระบุถึงการสร้าง “เจดีย์มีฐานช้างล่อหัวสี่ทิศ” เป็นประธานของวัดเสมาทอง) เรียกพุ่มข้าวบิณฑ์บริเวณใต้ยอดสุดของพระบรมธาตุว่า สาแหรกแก้ว ซึ่งให้ภาพทีชัดเจนของสายแก้ว 4 เส้นที่ถูกร้อยเข้ามาล้อมเป็นพุ่ม คล้ายสาแหรกคานหาม ทั้งยังแสดงตำแหน่งเดิมของนาคแปดเศียรว่าอยู่ระหว่างรูปยักษ์ ซึ่งนาคนี้เป็นส่วนหนึ่งของราวบันใด ที่จะถูกย้ายออกมาวางห่างจากเดิมหลังการบูรณะสมัยรัชกาลที่ 5

    น่าสังเกตว่ากระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุนี้ ไม่ได้จดชื่อเรียกของรูปสลักทวารบาลบนบานประตู ที่เคยเป็นประเด็นสนใจทางวิชาการในช่วงหลายปีก่อน สะท้อนว่ารูปสลักบนบานประตูนี้ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ หรือมีตัวตนเป็นพิเศษจนต้องถูกให้ชื่อ (อย่างไรก็ตาม ความทรงจำในรัชกาลที่ 5 ได้เกิดชื่อเรียกรูปสลักบนบานประตูว่า พระพรหม – พระอิศวร โปรดดู ชีวิวัฒน์ : เรื่องเที่ยวที่ต่าง ๆ ภาค 7 – หน้า 97) ด้วยรายละเอียดมหาศาลที่ถูกบรรจุไว้ในข้อความไม่กี่สิบบรรทัด กระบวนพระศรีรัตนมหาธาตุจึงเป็นบันทึกความทรงจำของเมืองนครที่สำคัญ และน่าสนใจอย่างยิ่งครับ

    กระบวรศรีรัตนมหาธาตุ แต่ดินสูงขึ้นไปจนถึงยอด ๓๗ วา ๒ ศอก ฐานติดดินชื่อว่าทับเกษตร ยาว ๑๗ วา แลลดขึ้นชั้นหนึ่งชื่อว่าทิพย์คีรี สูง ๖ วา มีพระยืน ๒๕ พระองค์ สูง ๕ ศอก แลหว่างพระนั้นมีช้างล่อหัว ๒๒ ตัว สูง ๓ ศอก บนทิพย์คีรีนั้น มีกำแพงแก้วสูง ๒ ศอก ยาว ๑๔ วา ๑ ศอก เท่ากันทั้ง ๔ ด้าน

    ฐานลวดรับระฆังบนกำแพงแก้ว ๕ ลวดสูง ๙ ศอก ระฆังสูง ๗ วา กว้างกำลังระฆัง ๓๓ วา เหมสูง ๒ วา ๓ ศอก กว้างเหม ๔ วา ๒ ศอก ๑ คืบ คอแร้บนเหมสูง ๖ ศอก มีรูปพระอรหันต์ยืนทุกเสาฅอแร้ ๘ พระองค์ สูง ๔ ศอก หน้ากระดานแลฅอแรกว้าง ๒ ศอก ๑ คืบ

    ปล้องไฉนติดหน้ากระดานมีกำลังรอบองค์ ๑๑ วา แลปล้องไฉนนั้น ๕๒ ปล้อง แต่หน้ากระดานปล้องไฉนจนถึงบัวคว่ำบัวหงายนั้นสูง ๑๕ วา กลีบบัวใหญ่รอบ ๑ ศอก กลีบบัวเซียน้อย ๑ คืบ กลีบบัวใหญ่ ๑๕ กลีบ ปากบัวใหญ่น้อยกำลังรอบ ๑๑ ศอก แต่บัวคว่ำบัวหงายถึงปทุมโกศสูง ๔ วา ๒ ศอก แต่ปทุมโกศถึงสาแหรกแก้ว ๖ ศอก แต่สาแหรกแก้วสุดยอดสูง ๓ ศอก

    แลกำแพงแก้วบนทิพย์คีรีนั้น มีพระเจดีย์ ๔ มุมชื่อว่าพระรัทเจดีย์สูง ๗ วา กำแพงแก้วมีท่อนํ้าเป็นศีรษะนาค ๗ ท่อ หาศีรษะมิได้ ๓ ท่อ แลด้านอุดรนั้นมีประตูแลบันได มีพระเจดีย์อยู่บนหลังคา ประตูบนบันไดมีอัฒจรรย์ขึ้นไปบนกำแพงแก้ว ๑๙ ขั้น หัวบันไดนั้นมีฝาผนังทั้งสองข้าง มีรูปพระข้างละองค์ ชื่อว่าพระหัดตุคราม พระรามเทพ ณ หัวฝาผนังนั้นมีนกอินทรีข้างละตัว ชื่อว่าท้าวกุเวณุราช ท้าวกุเวณุเทพราช ข้างตีนบันไดนั้นมีรูปนนทยักษ์ยืนถือตระบองข้างละตัว ชื่อว่าท้าวทศรศราช ท้าวทศรศมหาราช หว่างนั้นมีรูปนาค ๗ ศีรษะข้างละตัว ชื่อว่าท้าววิรุฬหัก ท้าววิรุฬปักษ์

    แลระเบียงชั้นในรอบพระบรมธาตุนั้น ๔ ด้าน แปยาว ๒๓ วา ขื่อยาว ๔ วา มีฝาผนังสูง ๔ ศอก แลประตูปิดเผย และมีธรรมาสน์พระสงฆ์แสดงพระสัทธรรมเทศนา ๓ ด้านทุกวันอัฐบาร มีพระโมคลาร ๘ พระองค์ พระนั่งหัตถบาท ๑๒ พระองค์ พระยืน ๒ พระองค์ รวม ๒๒ พระองค์

———————————-

แบบพระบรมธาตุเขียนขึ้นใหม่โดยใช้ภาพประกอบจากบทความ

มรดกพุทธศิลปสถาปัตยกรรม วัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช

อ.ดร.เกรียงไกร เกิดศิริ อิสรชัย บูรณะอรรจน์ และดร.นันทวรรณ ม่วงใหญ่

(โปรดดู : http://www.tci-thaijo.org/…/NAJUA-Arch/article/view/44340)

เป็นเค้าโครง ร่วมกับแบบสถาปัตยกรรมกรมศิลปากร ร่วมกับภาพถ่าย และการสำรวจรังวัดบางส่วน

แบบขยายยอดพระบรมธาตุ บริเวณ สาแหรกแก้วจนถึงยอดสูงสุด จากหนังสือ

การบูรณะปลียอดทองคำ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช สิ้นสุดครึ่งแรกตามแผนงาน (2537)

ใส่ความเห็น