หลบเหลียวแลหลังยังกรุงสทิงพาราณสี : นครท่ามกลางสองฝั่งทะเล บนสองฝั่งของความรู้และไม่รู้ ในห้วงเวลาสุดท้ายที่นครนี้ปรากฏหลักฐานให้เห็น

—————————-

ศุภมัสดุ ๖๕๑ ศกระกานักษัตรเอกศก …อนึ่งเมืองพัทลุงเมื่อแรกแต่เดิมนั้น สทิงพระเป็นเมืองกรุงสทิงพาราณสี แลเจ้าพญาสทิงพระนั้นชื่อเจ้าพญากรุงสทิง…(๑)

—————————-

    ย้อนกลับไป ๑๑๕ ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมานมัสการพระมหาธาตุเจดีย์วัดจะทิ้งพระ ทรงบันทึกถึงร่องรอยของเมืองร้างอันมีป่าปกคลุมหนาทึบ “…ในที่ต่อวัดไปเป็นป่ายางทึบดินสูง มีคูปรากฏอยู่ บัดนี้เรียกว่าเมืองจะทิ่งหรือจะทิ้งร้าง คงจะมีอะไรก่อสร้างอยู่ในนั้น ดินจึงสูง…(๒)” นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมาที่การมีอยู่ของเมืองนี้ถูกบันทึกโดยคนภายนอก และกว่าจะมีการศึกษาเกี่ยวกับเมืองนี้อย่างจริงจังก็จะเกิดให้หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปแล้วกว่าครึ่งทศวรรษ จากร่องรอยทางโบราณคดี จากร่องรอยในเอกสารโบราณ #นักวิชาการเริ่มปะติดปะต่อภาพร่างของเมืองจะทิ้งร้างในป่ายางใหญ่ขึ้นมาทีละส่วน ๆ จนรู้ว่าพื้นที่นี้มีความสำคัญแน่ และเก่าแก่อย่างยิ่ง แต่ในท่ามกลางความรู้ที่ค้นพบก็ยังมีช่องว่างอยู่มากมายที่เรายังคงไม่รู้

    ปัจจุบันไม่มีงานศึกษาใหม่ ๆ เกี่ยวกับเมืองจะทิ้งร้างนี้เพิ่มเติมมาจากหลายสิบปีก่อนมากนัก #ภาพของเมืองยังไม่ได้ถูกทำให้เป็นรูปเป็นร่าง ผู้เขียนเห็นประเด็นสองสามประเด็นที่อาจจะร่วมสนุกในท่ามกลางความรู้และความไม่รู้นี้ได้ #โดยอาศัยหลักฐานและจินตนาการเข้ามาผสมผสานกัน เมืองจะทิ้งร้างจะล่มสลายหายไปเมื่อไหร่นั้นไม่แน่ชัด หากนับจากครั้งสุดท้ายที่ชื่อเมืองนี้ปรากฏขึ้นในแผนที่โบราณฉบับหนึ่งก็ต้องย้อนกลับไปราว ๓๐๐ ปีก่อน

    เพื่อตั้งต้นการกลับไปทำความเข้าใจกับเมืองจะทิ้งร้างนี้ใหม่ #จึงเลือกห้วงเวลาของการทำภาพสันนิษฐาน_และประเด็นนำเสนอย้อนกลับไปตั้งต้นจากหลักฐานสุดท้ายที่ปรากฏ คือในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ หากงานชิ้นนี้จะยังประโยชน์ได้บ้างก็หวังว่ามันจะทำให้เกิดการกลับไปทำความเข้าใจพื้นที่เมืองสทิงพระนี้ให้มากขึ้น พบคำถามใหม่อันจะนำไปสู่คำตอบใหม่ ๆ มากขึ้นในอนาคต

เกาะที่กลายเป็นคาบสมุทร

    ก่อนจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าคาบสมุทรสทิงพระในปัจจุบัน แผ่นดินอันมีสัณฐานแคบยาวทอดตัวในแนวเหนือใต้นี้เคยเป็นเกาะซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนทะเลโดยคลื่นลมพัดทรายเข้าหาฝั่งในยุคโฮโลซีน (ราว ๕,๐๐๐ ปีก่อน) มีร่องน้ำขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับทะเลอยู่ระหว่างแผ่นดินตอนในกับเกาะนี้ การตกตะกอน และสันทรายที่ก่อตัวขึ้นตามกระแสคลื่นค่อย ๆ เชื่อมเกาะนี้เข้ากับแผ่นดินบริเวณอำเภอเชียรใหญ่ – หัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

    กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ร่องน้ำค่อย ๆ แคบเข้าจนกลายเป็นลำคลอง บางส่วนของร่องน้ำกลายเป็นลากูนทะเลสาบสงขลา สังคมวัฒนธรรมเริ่มแรกของสทิงพระเกิดขึ้นนับตั้งแต่แผ่นดินนี้ยังมีสภาพเป็นเกาะ และมีพลวัตรสืบมาพร้อม ๆ กับแผ่นดินนี้ที่ค่อย ๆ กลายเป็นคาบสมุทร และเรียกกันในท้องที่ว่า “แผ่นดินบก

    ปรากฏหลักฐานของชุมชนโบราณกระจายตัวตามแนวเกาะ หรือคาบสมุทรถัดลงมาทางทิศใต้ โดยเว้นระยะห่าง ๆ กัน ร่องรอยของชุมชนโบราณที่มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือชุมชนโบราณที่โคกทอง อำเภอระโนด ทางเหนือสุดของสทิงพระ ซึ่งได้รับการกำหนดอายุจากหลักฐานทางโบราณคดีอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓ ถัดลงมาคือ ชุมชนศรีหยัง ชุมชนเขาคูหา_พะโคะ ซึ่งได้รับการกำหนดอายุจากหลักฐานทางโบราณคดีอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ – ๑๖ ชุมชนสทิงพระ ซึ่งได้รับการกำหนดอายุจากหลักฐานทางโบราณคดีอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ – ๑๘ เป็นต้น ชุมชนเหล่านี้เป็นฐานทางวัฒนธรรมสำคัญที่คงส่งต่อบางส่วนมาจนยุคสมัยของเรา

    ว่ากันว่าสังคมชาวเกาะใด ๆ นั้นมักจะมีการรักษาแบบแผนทางวัฒนธรรมที่เหนียวแน่น มีสำนึกของชุมชนเข้มแข็ง สทิงพระแม้ไม่ได้เป็นเกาะแล้ว แต่การที่เรายังรู้สึกถึงจิตวิญญาณบางอย่างที่ยากแก่การอธิบายเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ เห็นวิถีชีวิตที่ยังคงดำเนินไปอย่างร่วมสมัยพร้อม ๆ กับยังคงให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีมาแต่เก่าก่อน นี่อาจเป็นบรรยากาศที่ตกค้างมาจากวิถีชาวเกาะที่สืบผ่านสายเลือดของผู้คนที่นี่มาจากครั้งอดีต

สทิงพาราณสีในตำนาน สทิงพระในวันนี้

    เมืองสทิงพาราณสี หรือสทิงพระโบราณตั้งอยู่ตอนกลางของเกาะ หรือคาบสมุทร ห่างจากชายฝั่งทะเลอ่าวไทยทางทิศตะวันออกประมาณ ๕๐๐ เมตร และห่างจากฝั่งทะเลสาบ

ด้านทิศตะวันตกประมาณ ๓,๕๐๐ เมตร พื้นที่ตั้งเมืองสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๒ เมตร ปรากฏร่องรอยของตัวเมืองในรูปแบบคันดินมีคูน้ำล้อมรอบ

ด้านทิศเหนือกว้าง ๒๘๐ เมตร

ด้านทิศตะวันออกกว้าง ๒๗๐ เมตร

ด้านทิศใต้กว้าง ๒๗๕ เมตร

#ด้านทิศตะวันตกกว้าง ๓๐๕ เมตร

    เพลานางเลือดขาว เอกสารโบราณของวัดเขียนบางแก้ว พัทลุง กล่าวถึงการมีอยู่ของเมืองสทิงพาราณสีในศักราช ๖๕๑ ซึ่งควรจะหมายถึงจุลศักราชตามเทรดดิชันเอกสารภาคใต้ ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๓๒ ศักราชที่ปรากฏในตำนานอาจไม่เป็นที่ยอมรับเท่าใดนักในวงวิชาการ จากหลักฐานทางโบราณคดี พบว่าพื้นที่สทิงพระเป็นที่พักพิงของวัตถุทางโบราณคดีหลายยุคหลายสมัย มีการค้นพบรูปเคารพในพุทธศาสนามหายานขนาดเล็กหลายองค์ในเขตเมืองซึ่งได้รับการกำหนดอายุอย่างกว้างไว้ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ๑๖ หากพิจารณาร่วมกับหลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่อื่น ๆ เช่นกลุ่มเขาคูหา ดังกล่าวไปแล้ว พื้นที่ที่เป็นเมืองสทิงพระนี้อาจมีการตั้งถิ่นฐาน และกิจกรรมของผู้คนมาก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตามระบุไว้ในตำนาน

    อย่างไรก็ตามการสันนิษฐานรูปแบบในสกู๊ปนี้ได้ทำการสันนิษฐานในห้วงเวลาสุดท้ายเท่าที่ปรากฏข้อมูลความเป็นเมืองสทิงพระอยู่ คือในราวต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ตามที่ปรากฏ “#เมืองสทิงพระ” ในแผนที่โบราณ (จะกล่าวถึงอย่างละเอียดในภาพถัดไป) หลังจากนั้นเมืองสทิงพระก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีก ตัวเมืองรกร้างและถูกลืมไปจากความทรงจำของผู้คนในส่วนอื่น ๆ ของคาบสมุทรสทิงพระ คงมีแต่คนทรงจำจาง ๆ ตกค้างอยู่ในพื้นที่ใกล้ ๆ กับตัวเมืองและรอบวัดจะทิ้งพระเท่านั้น

ชีงิตและผู้คนบนสทิงพระ

    ชาวพุทธตั้งถิ่นฐานอยู่ตอนกลางของแผ่นดินสทิงพรครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่และใช้มันเพื่อการเกษตรกรรม นา และน้ำผึ้งโหนด (คำเรียกน้ำตาลโตนด) เป็นผลิตผลหลัก #ขณะที่ชาวแขกผู้มีเทคโนโลยีของเรือที่ซับซ้อนกว่า ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบชายฝั่งทะเล ทั้งทะเลนอก (อ่าวไทย) และทะเลใน (ทะเลสาบ) คนแขกเป็นผู้เชื่อมแผ่นดินกับทะเล นำทรัพยากรณ์ในทะเลมาสู่บก แม้ว่าชุมชนพุทธ และชุมชนแขกส่วนใหญ่ จะแยกตัวออกจากกัน แต่ด้วยผลิตผลแลทักษะที่ต่างกันนำมาสู่การแลกเปลี่ยนและปฎิสังสรรค์กันอย่างแน่นแฟ้นตามโอกาส

    ในแผนที่นี้หากท่านสังเกตจะเห็นกลุ่มเด็กเล่นว่าวนกกลางทุ่ง เห็นคนกำลังปีนต้นโหนด ชาวประมงกำลังลากเรือขึ้นมาพักบนฝั่ง และอื่น ๆ ที่แอบซ่อนเอาไว้ ซึ่งได้แรงบรรดาลใจมาจากชีวิตบนสทิงพระที่พบเห็นได้ทุก ๆ วันนี้

    หลังจากห่างหายจากการทำสกู๊ปใหญ่ ๆ ไปหลายเดือน ครั้งนี้เป็นงานทดลองขยายสเกลของงานสื่อความหมายมรดกศิลปวัฒนธรรม จากเดิมที่เลือกนำเสนอในขอบเขตของอาคาร หรือจิตรกรรมในพื้นที่เล็ก ๆ ออกมาลองทำอะไรที่ใหญ่ขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้น ทั้งนี้เราไม่มีหลักฐานพอที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้เชื่อมต่อกัน เนื่องจากเมืองสทิงพระปรากฏขึ้นในเอกสารเป็นช่วง ๆ ห่าง ๆ กัน และหลักฐานทางโบราณคดีที่พบส่วนใหญ่ก็ย้อนไปในยุคสมัยอันไกล

    การสันนิษฐานนี้อาจอาศัยจินตนาการ โดยการนำชีวิตประจำวันบนสทิงพระย้อนเข้าไปประกอบหลายส่วน หากมีความผิดพลาดตกหล่นประการใดไปขอได้โปรดทักท้วงชี้แนะโดยไม่ต้องเกรงใจครับ

ขอขอบคุณ คุณสุทธิชัย ฤทธิ์จตุพรชัย คุณสามารถ สาเร็ม สำหรับคำแนะนำปรับแก้รายละเอียดในภาพครับ (เรื่องโดย vesinah ภาพโดย Maewsow)

—————————-

อ้างอิง

—————————-

๑_เพลานางเลือดขาว – การศึกษา “เพลานางเลือดขาว” ฉบับวัดเขียนบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง : ชัยวุฒิ พิยะกูล

๒_พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ที่ว่าการอำเภอจะทิ้งพระ วันที่ ๒๕ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ – โครงการห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ https://vajirayana.org/

——————————————————–


เมืองสทิงพระในแผนที่โบราณ

—————————-
#เอกสารชื่อหนึ่ง_กลับแสดงพื้นที่อีกที่หนึ่ง
—————————-
    เอกสารโบราณหอสมุดแห่งชาติ หมวดตำราภาพ หมู่สมัยอยุธยา ชื่อ #แผนที่เมืองนครศรีธรรมราช จ.ศ.๙๗๗ (พ.ศ.๒๑๕๘) เลขที่ ๓ มัดที่ ๑ ทะเบียนประวัติว่าเป็นสมบัติเดิมของหอสมุดวชิรญาณ เป็นแผนที่ที่เขียนตามระบบโบราณลงบนสมุดไทย หรือหนังสือบุด #แสดงภูมิประเทศตามยาวของพับหนังสือจากการศึกษาของนักวิชาการหลายท่านตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมากเป็นที่ชัดเจนว่า แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้เป็นแผนที่ของเมืองนครศรีธรรมราช หากแต่เป็นแผนที่ที่แสดงข้อมูลของพื้นที่ตั้งแต่ย่านเทือกเขาพระบาทของอำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เรื่อยลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บนแนวคาบสมุทรสทิงพระจนไปสิ้นสุดที่ปากทะเลสาบสงขลาที่สิงหนคร (ดูภาพเพิ่มเติมที่ : http://xn--22cja5co5b8bgld8ae4a1f7q.com/…/showContent/17)
    แม้ว่าหอสมุดแห่งชาติจะรักษาชื่อเดิมว่า แผนที่เมืองนครศรีธรรมราช เอาไว้ในทะเบียน และผู้สนใจสืบค้นจะต้องใช้ชื่อดังกล่าว แต่ในวงการวิชาการก็มีการให้ชื่อใหม่แก่แผนที่ฉบับนี้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องหลายชื่อ อาทิ

#แผนที่กัลปนาวัดพะโคะ ด้วยเหตุที่แผนที่นี้แสดงรายชื่อวัดที่เป็นวัดบริวารขึ้นกับวัดพะโคะ
#แผนที่คาบสมุทรสทิงพระ ตามพื้นที่ของข้อมูลที่แผนที่แสดง
#แผนที่เขตปกครองสงฆ์สทิงพระ ตามการเขียนแผนที่ที่เน้นความสำคัญของตำแหน่งวัด และที่นากัลปนาของวัดบนสทิงพระ เป็นต้น
    บทสนทนาว่าด้วยแผนที่นี้ และการศึกษาในมิติต่าง ๆ ผู้สนใจอาจสืบค้นเพิ่มเติมจากเอกสารที่ผู้เขียนเลือกมาให้บางชิ้นด้านล่างของโพสต์นี้
    จากสถานภาพการศึกษาในปัจจุบันกำหนดอายุของแผนที่นี้ว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๓ แต่ปีที่แน่ชัดนั้นยังเป็นที่ถกเถียง ทั้งแผนที่นี้ถูกทำขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ใด และทำขึ้นโดยใครนั้นก็ยังมีทฤษฎีมากมาย ชัยวุฒิ พิยะกูล นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ และพุทธศาสนาลุ่มทะเลสาบสงขลา #เสนอทฤษฎีจากการสำรวจสิ่งที่คนท้องที่เรียกว่า จุดปักกลดหลวงปู่ทวด ซึ่งกระจายตัวอยู่หลายแห่งบนสทิงพระ และบางส่วนของนครศรีธรรมรราชที่ติดกับสงขลาว่า แผนที่ฉบับนี้น่าจะถูกทำขึ้นโดยการนำของหลวงปู่ทวด ซึ่งได้กับการสถาปนาโดยอยุธยาให้มีตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชมุนี และจุดปักกลดต่าง ๆ ที่ทิ้งร่องรอยอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ คือจุดตั้งแคมป์สำรวจของคณะทำแผนที่ที่สมเด็จพระราชมุนีเป็นผู้นำ

แผนที่ฉบับนี้แสดงภาพของเมืองสทิงพระ และวัดสทิงพระเอาไว้ด้วย ซึ่งเป็นหลักฐานหลักที่ผู้เขียนนำมาใช้เป็นโครงในการทำภาพสันนิษฐาน

—————————-
#เมืองสทิงพระ
—————————-
.
แผนที่แสดงองค์ประกอบ ๓ อย่างคือ
.
#๑_ซุ้มประตูเมือง ที่เห็นลักษณะคล้ายเสาชิงช้า เป็นลักษณะของซุ้มประตูไม้ที่ปรากฏให้เห็นทั่วไปในงานจิตรกรรมแต่ไม่หลงเหลือประตูแบบนี้จริง ๆ อยู่แล้ว
.
#๒_อาคารยกใต้ถุน ทรงโรงมีมุขประเจิด มีนอกชานทั้งด้านหน้า และด้านหลัง อาคารนี้ตั้งอยู่ในเมืองยกใต้ถุนสูง และไม่มีข้อความกำกับเอาไว้ว่าเป็นวัด แสดงว่าจะต้องเป็นอาคารสำคัญบางอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ช่วยแสดงให้ความเป็นเมืองในแผนที่นั้นเด่นชัดขึ้น #ผู้เขียนสันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้ควรจะเป็นจวนวังเจ้าเมืองสทิงพระ ทั้งนี้โดยเปรียบเทียบกับตำราแบบแผนจวนวังของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยาในเอกสารโบราณเล่มหนึ่ง ซึ่งประเด็นว่าด้วยแบบแผนจวนวังโดยละเอียดนี้จะขอยกไว้นำเสนอในสกู๊ปว่าด้วยจวนวังเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจากเอกสารโบราณในช่วงกลางปีนี้ ตอนหนึ่งของเอกสารกล่าวถึงจวนวังครั้งพระยาอภัยธิเบศร์ ซึ่งครองเมืองนครในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า
.
…ทำ ๑๓ ห้อง มีมุขเหยียบ แลมุขหน้าหลัง มีเฉนียงรอบแลมีเรือนเทียม…
.
จวนวังซึ่งเป็นทั้งที่ว่าราชการ และอยู่อาศัยตามเอกสารนี้ จะเป็นอาคารทรงโรง (คือมีเฉนียงรอบ) ยกใต้ถุน ยาว ๑๓ ห้อง มีมุขประเจิด (มุขเหยียบ) อยู่ทางด้านหน้า จินตภาพของอาคารตามที่กล่าวมานี้อยากจะชวนให้ลองนึกถึงศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณารามที่ชะลอตำหนักเจ้าพระขวัญในพระราชวังหลวงอยุธยามาถวายวัด เป็นระบบที่ไม่ต่างกันนัก ดังนั้นผู้เขียนจึงคิดว่าอาคารที่ปรากฏในแผนที่นี้ควรจะตั้งใจวาดจวนวังเจ้าเมืองสทิงพระนั่นเอง
.
#๓_รั้วไม้ระเนียดมีเสมาบังใบ ซึ่งน่าจะตั้งใจหมายถึงกำแพงไม้ล้อมรอบเมือง จากร่องรอยของคูน้ำคันดินที่เหลืออยู่ในปัจจุบันซึ่งใช้เป็นขอบเขตของตัวเมือง น่าจะมีการปักเสาไม้ระเนียดเป็นกำแพงโดยที่คันดินที่เหลืออยู่ทำหน้าที่เป็นเชิงเทิน และยันกำแพงไม้เอาไว้ด้านหลัง
.
—————————-
#วัศทิงพระ – วัดสทิงพระ
—————————-
.
แผนที่แสดงสิ่งก่อสร้าง ๒ หลังคือ #๑_วิหารโถง ทรงโรงมีมุขประเจิด วิหารหลังนี้ไม่มีหลักฐานเหลืออยู่แล้ว วิหารทรงโรงมุขประเจิดที่อาจมีลักษณะ และขนาดใกล้เคียงกับภาพที่แสดงในแผนที่มากที่สุดน่าจะคือวิหารวัดจำปา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี (โปรดดู : https://www.facebook.com/groups/menamluang/permalink/758466580995087/)
#๒_เจดีย์ขนาดใหญ่มีวิหารทับเกษตรรอบฐานเจดีย์ มีระยะของเจดีย์แต่ละส่วนกำกับอยู่ถอดออกมาดังนี้
.
(#ฐานรวมวิหารทับเกษตร) ยาว ๗ วา
(#องค์ระฆัง)กลมปริมณฑล ๒๐ วา สูง ๗ วา ๑ ศอก
(#บัลลังก์ ก้านฉัตร บัวฝาละมี) ๓ ศอก ๑ คืบ
(#ปล้องไฉน) ๖ วา
(#ปลียอด) ๔ วา
.
ความสูงจากฐานองค์ระฆังถึงยอด (ไม่รวมความสูงฐานเจดีย์ซึ่งน่าจะขาดหายไปคือ) ๑๗ วา ๔ ศอก ๑ คืบ ฐานจัตุรัสกว้างยาว ๗ วา น่าสังเกตว่าระยะไม่รวมฐานเจดีย์ที่ ๑๗ วา ๔ ศอก ๑ คืบ ใกล้เคียงกับขนาดความสูงของพระมหาธาตุเจดีย์ที่เจ้าเมืองสทิงพระอาราธนาให้พระอโนมทัสสีก่อขึ้นมีความสูง ๑ เส้นมาก (๒๐ วา ๑ เส้น) ขาดไปเพียง ๒ วาเศษซึ่งอาจจะเป็นความสูงของฐานที่ไม่ได้ปรากฏอยู่ในแผนที่นั้นเอง
.
#เรื่องกัลปนาวัด_จังหวัดพัทลุง_แผนที่เมืองนครศรีธรรมราช_จ.ศ.๙๗๗_หน้าปลาย – หอสมุดแห่งชาติ
.
…แลเมื่อขณะพญาธรรมรังคัลกินเมืองสทิงพระ แลนิมนต์พระมหาอโนมทัสสี ให้ไปเอากระบวนพระมหาธาตุเจ้ามาแต่เมืองลังกา และมาก่อพระศรีรัตนมหาธาตุเจ้าสูงเส้นหนึ่ง และทำพระวิหาร พระธรรมศาลา แลทำพระวิหารอุโบสถแลกำแพงรอบ และสูงกำแพงนั้น ๖ ศอก…
.
#พงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช_เลขที่_๓ – หอสมุดแห่งชาติ
.
…แลเมื่อขณะพระยาธำรงกษัตริย์สร้างเมืองจะทิ้งพระ แลนิมนต์พระมหาเถรอโนมทัสสี ให้ไปเอากระบวนพระมหาธาตุมาแต่เมืองลังกา แลมาก่อเป็นพระศรีรัตนมหาธาตุสูงเส้น ๑ แลทำวิหารแลทำธรรมศาลาแลอุโบสถแลทำกำแพงรอบ แลสูงกำแพงนั้น ๖ ศอก…
.
(เรื่องพญาธรรมรังคัล และข้อสังเกตความสูงของเจดีย์โปรดดูในหน้าถัดไป)
.
———————————-
.
งานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับแผนที่โบราณฉบับนี้
1_รายงานการวิจัยพุทธศาสนาแถบลุ่มทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวันออกสมัยกรุงศรีอยุธยา – สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ น่าจะเป็นงานศึกษาเกี่ยวกับแผนที่ฉบับนี้งานแรก ๆ มีการตีพิมพ์ภาพลายเส้นของแผนที่แนบอยู่ด้านหลังรายงาน แต่ตัวเล่มรายงานเผยแพร่ในวงจำกัดสมัยนั้น
2_อู่อารยธรรมแหลมทอง คาบสมุทรไทย – ศรีศักร วัลลิโภดม เป็นหนังสือเล่มแรกที่มีการพิมพ์แผนที่ทั้งฉบับพับแทรกอยู่ภายในเล่ม โดยที่ผู้สนใจทั่วไปสามารถซื้อหาได้ง่าย
3_ศึกษาแผนที่ภาพกัลปนาวัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา – ชาญณรงค์ เที่ยงธรรม วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยทักษิณเล่มนี้ทำการศึกษารายละเอียดที่ปรากฏในแผนที่ตั้งแต่ภาพวาด รายชื่อสถานที่ ร่วมกับการสำรวจเปรียบเทียบกับสถานที่จริง

4_พัฒนาการของพุทธศาสนาและกัลปนาวัดบริเวณลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 – ชัยวุฒิ พิยะกูล ศึกษาและใช้แผนที่ในฐานะส่วนหนึ่งของหลักฐานอธิบายพัฒนาการทางพุทธศาสนาบนพื้นที่สทิงพระ
5_หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด : ศึกษาประวัติ คติความเชื่อ และผลกระทบที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมภาคใต้ – ชัยวุฒิ พิยะกูล ศึกษาร่องรอยของความเชื่อเกี่ยวกับหลวงปู่ทวดบนสทิงพระ และบริบท ทำความเข้าใจร่องรอยของจุดต่าง ๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ปักกลดหลวงปู่ทวดจนนำมาสู่ข้อเสนอว่าแผนที่โบราณนี้เขียนขึ้นโดยการนำสำรวจของสมเด็จพระราชมุนี หรือหลวงปู่ทวด


วัดมหาธาตุเจดีย์พระเจ้าองค์ใหญ่ มหาธาตุนอกเมืองสทิงพระ
.
—————————-
#วัดจะทิ้งพระปัจจุบันเกิดจากการรวม_๒_วัดเข้าไว้ด้วยกัน
—————————-
.
#วัดนี้เดิมเป็นสองวัด มีกำแพงกั้นกลาง… มีพระเจดีย์ที่เป็นสำคัญ ๒ องค์ องค์ย่อมต้นไม้ขึ้นพังไปบ้างแล้วนั้น มีเรื่องว่า #เมื่อนางชลธารากับทันตกุมารน้องชายเชิญพระสารีริกธาตุมาแต่ลังกาจะไปบรรจุพระมหาธาตุเมืองนครนั้น มาหยุดอาบน้ำที่บ่อจันทร์ซึ่งอยู่นอกวัด ทันตกุมารรับพระธาตุไว้ จึงเอาผ้าปูลงวางพระธาตุไว้ในที่ก่อพระเจดีย์นั้น #นางพี่สาวมาเห็นจึงถามว่า “จะทิ้งพระเสียแล้วหรือ” เพราะฉะนั้นจึงเป็นชื่อสืบมาว่าจะทิ้งพระ… #มีพระเจดีย์องค์ใหญ่_เรียกว่าพระมหาธาตุ แต่เรื่องว่าเป็นสร้างภายหลัง คือว่าพระยาธรรมรังสรรสร้าง เมื่อจุลศักราช ๗๙๙ ทูลขอพระครูอโนมทัสสี ที่ไปลังกาออกมาสร้าง เป็นรูปถ่ายมาจากพระเจดีย์ลังกา… (๑)
.
นี่เป็นลักษณะของวัดจะทิ้งพระผ่านสายพระเนตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคราวเสด็จประพาสแหลมมลายู เมื่อ ๒๔๔๘ ทรงระบุว่าในปีที่เสด็จนั้นวัดสองวัด คือ วัดซึ่งมีเจดีย์อนุสรณ์ตำแหน่งที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วไว้ชั่วคราวเป็นวัดหนึ่ง และวัดซึ่งมี พระมหาธาตุ เป็นประธานเป็นอีกวัดหนึ่ง เพิ่งจะรวมเข้าด้วยกัน
.
#เพลาวัดบางแก้ว (๒) เอกสารสมัยอยุธยาซึ่งถูกเขียนขึ้นในครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ได้ระบุชื่อวัด ชื่อตำแหน่งเจ้าอาวาส (หัววัด) ตำแหน่งมรรคนายกวัด และจำนวนกลุ่มข้าพระดูแลวัด ซึ่งทั้งหมดอยู่ในความควบคุมของคณะป่าแก้วพัทลุง ให้ข้อมูลที่ยืนยันเรื่องนี้ โดยแสดงรายละเอียดของวัดออกเป็นสองวัดคือ
.
#วัดจทิ้ง พระครูวินัยธรรมเป็นหัววัด หมื่นธรรมเจดีย์เป็นนายเพณี มีข้าพระ ๕ หัวงาน
#วัดพระมหาธาตุพระเจดีย์พระเจ้าองค์ใหญ่ พระครูอมฤตย์ศิริวัฒธนธาตุ หัวคณะชุมนุมรักษาพระธาตุ ขุนธรรมพยาบาลเป็นนายเพณี มีข้าพระ ๕ หัวงาน
.
หากพิจารณาร่วมกับพระราชหัตถเลขาฯ #วัดจทิ้ง ก็คือวัดที่มีเจดีย์อนุสรณ์ตำแหน่งที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว ส่วนอีกวัดหนึ่งก็คือ #วัดพระมหาธาตุ นั่นเอง
.
—————————-
#พระมหาธาตุเจดีย์แห่งสทิงพระ
—————————-
.
ตำนานพระมหาธาตุเจ้าสทิงพระ ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารโบราณ ๒ ฉบับ ให้ข้อมูลใกล้เคียงกับพระราชหัตถเลขาฯ ว่ากษัตริย์สทิงพระนามว่า #พญาธรรมรังคัล (อีกฉบับว่า พญาธำรงกษัตริย์) ได้อาราธนาให้พระมหาอโนมทัสสีเถระไปถ่ายแบบพระมหาธาตุเจ้า (เอกสารใช้คำตามศัพท์ช่างภาคใต้ว่า เอากระบวน) จากลังกา #มาก่อพระศรีรัตนมหาธาตุเจ้าสูงเส้นหนึ่ง แลทำพระวิหาร พระธรรมศาลา พระวิหารอุโบสถ และกำแพงรอบวัดสูง ๖ ศอก
.
ต้นฉบับตำนานไม่ได้ระบุปีที่เกิดเหตุการณ์นี้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในปีใด หากแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวระบุว่าเกิดในจุลศักราช ๗๙๙ ตรงกับพุทธศักราช ๑๙๘๐ อย่างไรก็ตามตำนานระบุว่าการถ่ายแบบมานั้นได้สร้างเป็นเจดีย์สูง ๑ เส้น คือราว ๆ ๓๖ – ๓๘ เมตร หากแต่พระมหาธาตุเจดีย์องค์ปัจจุบันมีความสูงเพียง ๒๖ เมตรเศษเท่านั้น ทั้งลักษณะของพระเจดีย์ตั้งแต่ฐานตลอดยอด ก็ไม่ได้มีความสอดคล้องกับลักษณะของเจดีย์ในศรีลังกาสำคัญ ๆ ซึ่งควรจะเป็นหมุดหมายของการถ่ายแบบเลย แต่กลับแสดงลักษณะของเจดีย์พื้นเมืองที่มีคุณลักษณะหลายอย่างสัมพันธ์ตกค้างกับ Votive Stupa ที่พบในไทยร่วมสมัยกับยุคทวารวดี อีกทั้งหากพิจารณาภาพของพระมหาธาตุเจดีย์ที่ปรากฏในแผนที่โบราณจะพบว่าทั้งลักษณะและความสูงก็ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะลักษณะของฐานพระมหาธาตุในปัจจุบันเป็นฐานจตุรมุข ไม่มีทับเกษตร หากแต่ฐานที่ปรากฏในแผนที่นั้นมีทับเกษตรล้อมรอบ
.
จึงคงเป็นคำถามอยู่ว่า หากอาศัยตำนานในเอกสาร #พระมหาธาตุที่พระอโนมทัสสีก่อขึ้นในสทิงพระ #เป็นมหาธาตุเดียวกับมหาธาตุแห่งวัดจะทิ้งพระในปัจจุบันแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเจดีย์องค์นั้นในห้วงเวลาระหว่างปี ๑๙๘๐ ตามตำนานจนมาถึงยุคของเรา ? การที่สทิงพระถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยโจรสลัดสองครั้ง แต่ฟื้นตัวขึ้นใหม่ในกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ทำให้รูปแบบของพระมหาธาตุเปลี่ยนไปหรือไม่ ? หรือปัจจัยอย่างความโกลาหลในภาคใต้ช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา และสงคราม ๙ ทัพก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นไปในสทิงพระที่ส่งผลต่อเจดีย์องค์นี้หรือไม่ ?
.
และตำแหน่ง #พระครูอมฤตย์ศิริวัฒธนธาตุ หัวคณะชุมนุมรักษาพระธาตุ ซึ่งสะท้อนถึงระบบการอภิบาลวัดพระมหาธาตุนี้ในสมัยโบราณและหายสาบสูญไปแล้วนั้น คำ “ศิริวัฒธน” ในตำแหน่งนั้น เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไรกับ “ศิริวัฒนบุรี” หรือแคนดี้ ซึ่งมีสถานะเป็นเมืองหลวงของศรีลังกาตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ นั้น การฟื้นฟูสทิงพระขึ้นใหม่หลังจากศึกโจรสลัดจะทำให้เกิดการปรับปรุงระบบการอภิบาลวัดพระมหาธาตุ และมีการฟื้นความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนากับลังกาภายในบริบทของสทิงพระเองหรือไม่ ?
.
—————————-
#มหาธาตุนอกเมือง : ร่องรอยเก่าแก่ก่อนความคิดเรื่องมหาธาตุกลางเมืองจะแพร่หลายในภาคใต้
—————————-
.
หากพิจารณาจากภูมิศาสตร์ และแผนที่โบราณเราจะเห็นอย่างชัดเจนว่าตัววัดตั้งอยู่นอกขอบเขตของเมืองสทิงพระโบราณลงมาทางทิศใต้ พิจารณาร่วมกับเอกสารโบราณซึ่งสะท้อนสถานะของวัดว่าเป็นวัดมหาธาตุประจำเมืองที่ยังตั้งอยู่นอกเมือง ขณะที่พื้นที่ภายในขอบเขตเมืองสทิงพระปัจจุบันไม่มีร่องรอยของศาสนสถานทางพุทธศาสนาในรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมาอยู่เลย (มีการพบประติมากรรมทางพุทธศาสนามหายานขนาดเล็กหลายองค์ในเมือง)
.
เราอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นระบบของมหาธาตุสถูปดั้งเดิมซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นการแบ่งแยกพื้นที่ชุมชน ออกจากพื้นที่เชิงศาสนาที่ต้องการความสงบ และบริสุทธิ์ ก่อนที่ระบบมหาธาตุกลางเมืองที่พัฒนาขึ้นในพม่าตอนล่าง และในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จะถูกส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ #เช่นที่พระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งเคยเป็นพระมหาธาตุนอกเมืองพระเวียง #จะได้กลายมาเป็นพระมหาธาตุกลางเมืองของเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยอยุธยา ภายใต้อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอยุธยา เราคุ้นชินกับเมืองที่มีมหาธาตุในรูปของปรางค์ และเจดีย์เป็นหลักอยู่ภายในนคร แต่พระมหาธาตุแห่งสทิงพระดูจะยังสืบแบบแผนเก่าแก่ของมหาธาตุนอกเมืองนี้ไว้ได้จนกระทั่งเมืองสทิงพระได้เสื่อมโทรมลงไปคงเหลือเพียงคูน้ำคันดินในปัจจุบัน
.
—————————-
#เมื่อพระบรมธาตุเมืองนครถูกเชิญไปจากสทิงพระ
—————————-
.
มีตำนานเกี่ยวกับสทิงพระอีก ๒ เรื่อง อยู่ในลักษณะเรื่องเล่ามุขปาฐะซึ่งเท่าที่ได้สืบถามในการภาคสนามของผู้เขียนพบว่าไม่เป็นที่รับรู้กันแล้วถูกบันทึกไว้ในวิทยานิพนธ์ขององอาจ ศรียะพันธ์ (๓) ผู้เขียนถือโอกาสเอามารวมไว้ในที่นี้สำหรับผู้สนใจจะได้ลองพิจาราณดู มุขปาฐะสองเรื่องนี้ยังอาจนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจอีกประเด็นสองประเด็นในตอนท้าย
.
#ตำนานพระบรมธาตุสทิงพระ_จากคำบอกเล่าของเจ้าคุณภัทรศีลสังวร_วัดมัชฌิมาวาส
.
“…เจ้าหญิงเจ้าชายแห่งเมืองนนทบุรี ชื่อเหมชาลากับเจ้าทนตกุมาร วันหนึ่งเมื่ออาณาจักรท่านทั้งสองถูกโจมตี พระราชบิดาจึงมีรับสั่งให้พระราชบุตรราชธิดานำพระธาตุลงเรือไปซ่อนไว้ที่เกาะลังกา เจ้าทนตกุมารกับนางเหมชาลา ได้ลงเรือที่นครศรีธรรมราช และไปถึงลังกา ต่อมาพระเจ้ากรุงลังกาได้ให้สองกุมาร นำพระธาตุกลับทันตบุรี ส่งกองเรือคุ้มกันไปด้วย เมื่อมาถึงสงขลาเรือแตก แต่พระธาตุไม่สูญหาย #ถูกเก็บมาบรรจุไว้ในสถูปที่สทิงพระ
.
—————————-
.
#การอภิเษกของสองนคร_และการสร้างพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
.
…ครั้งหนึ่งมีสองนครคือสทิงพระ กับไชยา พระเจ้าแผ่นดินสทิงพระมีพระธิดารุ่นราวคราวเดียวกับพระราชบุตรแห่งไชยา พระแผ่นดินทั้งสองได้จัดการอภิเษกพระราชบุตรพระราชธิดา และสร้างเมืองกึ่งกลางระหว่างสทิงพระกับไชยา คือเมืองศิริธรรมนครให้ทั้งสองประทับ #และเมื่อสร้างเมืองกึ่งกลางแห่งใหม่ศิริธรรมนคร #ได้โปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุที่ได้มาแต่เมืองสทิงพระ ขบวนที่นำพระธาตุมาเป็นขบวนช้างด้วยเหตุนี้เมื่อสร้างเจดีย์เสร็จ จึงได้สร้างรูปช้างรายรอบพระเจดีย์ไว้ด้วย ครั้นแล้วก็ปล่อยช้างนั้นเป็นอิสระ ช้างนั้นก็เที่ยวไปโดยไม่มีผู้ใดทำร้าย
.
ตำนานตำนานพระบรมธาตุสทิงพระในความรับรู้ของเจ้าคุณภัทรศีลสังวร มีความสอดคล้องหลายประการกับตำนานฉบับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับฟังมา อาจผิดกันโดยรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้นแต่ก็พอสะท้อนให้เห็นเค้าโครงของเรื่องเดิมที่คลี่คลายตัวไปตามกาลเวลา
.
หากแต่ตำนานมุขปาฐะท่อนหลังที่ว่าด้วยการอภิเษกของสองนคร และการอัญเชิญพระบรมธาตุจากสทิงพระไปประดิษฐานมหาสถูปที่เมืองนครนั้นกลับไม่เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในพื้นที่แล้วในปัจจุบันนี้ อย่างไรเค้าโครงของเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันว่าด้วยการอภิเษกของสองนครนี้ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในเอกสารเก่าแก่เล่มหนึ่งของโลกมลายูชื่อว่า #ตารีค_ปตานี
.
ตารึค ปตานี เรียบเรียงขึ้นในปตานีโดย ชัยค์ ฟากิฮฺ อาลี บินวันมูฮัมหมัด บิน ชัยค์ ศอฟียูดดีน อัลอับบาส ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เพื่อแสดงความเป็นมาของอาณาจักรปตานีนับแต่ก่อนการเกิดขึ้นของศาสนาอิสลามผ่านความทรงจำ และเอกสารต่าง ๆ ที่รวบรวมได้ในขณะนั้น #โดยได้รับคำแนะนำจากชาวนครศรีธรรมราช ผู้นับถือศาสนาพุทธคนหนึ่งในการอรรถาธิบายความที่ยากแก่การเข้าใจของผู้เรียบเรียงที่เป็นชาวมุสลิม
.
ตารีค ปตานีกล่าวว่า #หลังจากกษัตริย์ศรีวิชัยอภิเษกกับมเหสีที่ไชยาต่อมาก็มีโอรสองค์หนึ่ง ส่วนที่ ๓ ของเอกสารกล่าวถึงเหตุการณ์การอภิเษกของสองนครว่า
.
…ต่อมาได้มีการอภิเษกสมรสกันระหว่างโอรสราชาศรีวิชัยกับพระธิดาราชาสันญูรา (สงขลา) การเลี้ยงฉลองมีขึ้นถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน เชิญแขกมาตั้งแต่เมืองจีน อินเดีย และปาเล็มบัง… มีการละเล่นกันสนุกสนาน #มีช้างจำนวนมากที่เป็นพาหนะบรรทุกสิ่งของเพื่อนำมาถวายพระราชา เป็นที่กล่าวกันว่าการอภิเษกสมรสกันครั้งนั้นช้างจำนวนมากไม่มีสถานที่จะผูกเลี้ยงไว้จึงได้หลุดหนีไป…
.
ในส่วนที่ ๔ ของตารีค ปตานี กล่าวถึงการอภิเษกของสองนครอีกครั้งหนึ่งว่า พระธิดาของราชาสันญูรา (สงขลา) มีสิริโฉมงดงามยิ่ง เป็นเหตุให้โอรสของราชาลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) #มัวแต่เฝ้าเพ้อฝันถึงทั้งกลางวันกลางคืน_จนทั้งบรรทมก็ไม่ได้เสวยพระกระยาหารก็ไม่ได้ ราชาลิกอร์จึงนำกองทัพบุกไปยังสันญูรา (สงขลา) เพื่อชิงพระธิดาของราชามาให้พระโอรสจนเกิดเป็นสงครามย่อม ๆ ที่กษัตริย์ศรีวิชัยยื่นมือเข้ามาช่วยสงบศึก
.
แน่นอนว่าตำนานมุขปาฐะ กับที่ถูกบันทึกไว้ในตารึคปตานีซึ่งเก่าแก่กว่า แต่ก็บันทึกหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วหลายร้อยปีนั้นไม่ตรงกันชนิดคำต่อคำ แต่เชื่อได้ว่าท่านผู้อ่านน่าจะมองเห็นสายสัมพันธ์จาง ๆ ของเรื่องราวจากทั้งสองแหล่งนี้ และกล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ในที่นี้เราคงยังไม่ได้ใช้เรื่องราวที่ปรากฏในตำนานเหล่านี้ในฐานะเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงย้อนไปในประวัติศาสตร์อันแสนไกล หากแต่ใช้เพื่อตั้งข้อสังเกตในสองประเด็นคือ
.
๑. สทิงพระมีโลกทัศน์ทางวัฒนธรรมของตนเอง และมีปรัมปราคติที่พัฒนาเรื่อยมาโดยไม่ได้ยึดโยง หรืออิงกับแม่บทตำนานของเมืองนครศรีธรรมราชในลักษณะผู้รับเพียงอย่างเดียว (โครงเรื่องว่าด้วยพระทนตกุมาร นางเหมชาลา แม้ว่าจะปรากฏอยู่ก่อนในทาฐาธาตุวงศ์ – ตำนานพระเขี้ยวแก้วลังกา แต่สทิงพระน่าจะรับเรื่องนี้ผ่านตำนานพระบรมธาตุนครมากกว่า) #คำอธิบายอาทิพระบรมธาตุได้เคยประดิษฐานที่สทิงพระมาก่อนจะไปยังเมืองนคร (หรือตำนานท้องถิ่นบ้านสนามชัย ที่ว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกทรงตั้งทัพที่บ้านสนามชัย บนสทิงพระก่อนจะไปตั้งเมืองนครศรีธรรมราช) นั้นอาจชี้ให้เห็นร่องรอยของสำนึกที่พยายามจะอธิบายสถานะบางประการของแผ่นดินสทิงพระ และพระบรมธาตุแห่งสทิงพระในฐานะที่เท่าเทียม หรือเป็นรากเหง้าของความเป็นนครศรีธรรมราชในสมัยต่อมา
.
๒. การอภิเษกของสองนครที่ปรากฏในตำนานมุขปาฐะ และเอกสารในโลกมลายู มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ความเชื่อมโยงของตำนานสะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงของความคิด และผู้คนระหว่างบนสทิงพระ กับโลกมลายูหรือไม่ ? มากแค่ไหน ? ก่อนคนชาติพันธุ์ไท และภาษาไทยจะหลั่งไหลลงมาจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา ใครล่ะคือประชากรของไชยา ]ลิกอร์ สทิงพระ ?
.
นี่อาจจะเป็นโจทย์ที่น่าจะลองคิดกันต่อไปครับ
.
อ้างอิง
– ๑ พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายูคราว ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘) ที่ว่าการอำเภอจะทิ้งพระ วันที่ ๒๕ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ – โครงการห้องสมุดดิจิทัลวชิรญาณ https://vajirayana.org/
– ๒ ตำราพระเพลาวัดบางแก้ว – การปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ ประเภทหนังสือบุด – ชัยวุฒิ พิยะกูล
– ๓ รูปเคารพในพุทธศาสนามหายานก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พบที่เมืองสทิงพระ – องอาจ ศรียะพันธ์ – วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ.๒๕๓๓
– ๔ ประวัติศาสตร์ปตานี ชัยค์ ฟากิฮฺ อาลี – ตึงกู อารีฟีน ตึงกูจี

เผยแพร่ครั้งเเรกใน – https://www.facebook.com/Arch.kidyang/posts/pfbid03224SyHFypbLLBFoFK8ueYg9tNDEcRwmjhkAUi3zawtK6q3TzDcopBQN6ajPfCN1Nl



ใส่ความเห็น