จารึกระฆังวัดท้าวโคตร กับเรื่องวัดสบตะวันออก และหลักฐานพระราชพิธีลบศักราชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (?)

    ระฆังนี้ว่าเป็นของอยู่ในวัดท้าวโคตรมาแต่เดิม ระฆังสูง 86 เซนติเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 58 เซนติเมตร ระฆังนี้มีสันฐานดังได้กระสวนระยะหยาบ ๆ มาในเสก็ตนี้ มีจารึกที่คอระฆัง แต่ไม่รอบคอ และเกิดสนิมอยู่สองจุดทำให้เนื้อความหายไปหลายคำ เท่าที่อ่านได้มีดังนี้

“คำอ่าน”

    พุทธสกกราชใด ๒๑๘๓* ปีมโรงเลิกวาฉลูตรีนิสก วันศุกร์แรม ๖ ค่ำเดือน ๔ เขาขีผึง ๓๐ ชังเปนทอง ๓๐๐ ชัง สมภารพระบาดหลวงพระ (สนิม) สงฆ ๒๐ พระองคชวยสางใวใน (สนิม) ณวัดสบต่ออก

    พุทธศักราชได้ 2183 ปีมะโรง เลิกวาฉลูตรีนิศก วันศุกร์แรม 6 ค่ำเดือน 4 เข้าขี้ผึ้ง 30 ชั่ง เป็นทอง 300 ชั่ง สมภารพระบาดหลวงพระ (สนิม) สงฆ์ 20 พระองค์ ช่วยสร้างไว้ใน (สนิม) ณ วัดสบตะวันออก

    *พ.ศ. 2183 นี้คำนวนปีนักษัตรดูพบว่า 2183 นั้นเป็น มะโรง(โทศก) ตรงกับจารึก แต่จารึกยังมีข้อความสืบไปอีกว่า “เลิกวาฉลูตรีนิศก” จากที่ปรึกษาความเห็นหลาย ๆ ท่านสันนิษฐานว่า เลิกวาฉลูตรีนิศก นี้คือปีนักษัตรจากการลบศักราชของพระเจ้าปราสาททอง กล่าวตามความเห็นของ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ที่พบว่าการลบศักราชพระเจ้าปราสาททองตามพระราชพงศาวดารนั้นไม่ได้เป็นการแก้ไขตัวเลขบอกศักราช แต่เป็นการแก้ปีนักษัตรย้อนหลังกลับไปสามปี คือเมื่อประกอบพระราชพิธีลบศักราชในปีพศ. 2181 ตรงกับจุลศักราช 1000 เป็นปีขาลสัมฤทธิศก การลบศักราชได้ถอยปีนักษัตรในปีนั้นให้กลับไปเป็นปีกุน (เอกศก) และให้วันเถลิงศกหรือวันขึ้นปีใหม่ เป็นวันจันทร์ขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ เรื่องนี้ถูกบันทึกไว้ในฉันท์สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าปราสาททองความว่า

ยังมีบรมวงศ์ สูรกระษัตริย์กระษัตรา

จักได้ประกอบทวา- ทศมาสราศี

โดยนัยบัญจก สัมเรทเสร็จธิศกปี

ขลาศกสำเร็จมี ก็จะสฤษดิเป็นกุน

จะตกจะแต่งมง- คลการยมากมุล

ขลาสฤษดิเป็นกุน แลจะขึ้นเป็นเอกศก

ตั้งปถมาเจตร โดยพยาเทศบัญจก

วันขึ้นเป็นเอกศก ดิถีวารจันทา

    ดังนั้นหาก พ.ศ. 2181 ตรงกับจุลศักราช 1000 เป็นปีขาล (สัมฤทธิศก) ลบศักราชจะเป็นปีกุน (เอกศก)

พ.ศ. 2182 ตรงกับจุลศักราช 1001 เป็นปีเถาะ (เอกศก) ลบศักราชจะเป็นปีชวด (โทศก)

พ.ศ. 2183 ตรงกับจุลศักราช 1002 เป็นปีมะโรง (โทศก) ลบศักราชจะเป็นปีฉลู (ตรีนิศก)

    อย่างไรก็ตามการลบศักราชนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ จารึกขอบระฆังวัดท้าวโคตร อาจเป็นหลักฐานใหม่ที่บันทึกการลบศักราชเอาไว้ ทั้งยังบอกปีนักษัตรอย่างเก่า ควบคู่ไปกับนักษัตรแบบลบศักราชไปพร้อมกันด้วย

“วัดสบ วัดสพ วัดศรภ นั้นสำคัญ”

เรารู้ว่าวัดท้าวโคตรปัจจุบันถูกรวมขึ้นจากหลาย ๆ วัดโดยรอบมาเป็นวัดเดียว คือ (๑)

๑.วัดประตูทอง

๒.วัดธาราวดี (วัดไฟไหม้)

๓.วัดวา

๔.วัดสบ หรือวัดสบเดิม

๕.วัดท้าวโคตร

    ในบรรดาวัดที่เอามารวมกันนี้ วัดสบ หรือวัดสบเดิมนั้น เป็นวัดที่มีความสำคัญ ถูกกล่าวถึงในเอกสารโบราณเมืองนครมากที่สุด อาทิ เป็นที่ปลงศพพระเจ้าศรีธรรมาโศก ฯลฯ เรื่องข้อเท็จจริงอาจจะวางไว้ก่อน แต่ให้หมายไว้ว่าเป็นชื่อฮิต

    “พระท้าวโคตรวัดสบเดิม” เป็นพระพุทธรูปที่มีชื่ออยู่ใน กระบวนที่เลณฑุบาทพระศรีรัตนมหาธาตุสมัยอยุธยาตอนปลาย “ตลาดวัดสบเดิม” ก็ปรากฏอยู่ในกระบวนที่นี้ด้วยเหมือนกัน อาจจะเป็นตลาดที่เก่าที่สุดในเมืองนครที่ปรากฏบันทึก และยังคงมีตลาดอยู่ทุกวันนี้แต่ย้ายที่กระเถิบไปหน่อยนึง ก็ยังเรียกกันว่า หลาดวัดสบ

    พระพุทธรูปขนาดใหญ่หน้าฐานเจดีย์วัดท้าวโคตร เรียกกันว่า “หลวงพ่อศรภเดิม” (แสดงว่าเจดีย์วัดท้าวโคตรคือเจดีย์ประธานวัดสบเดิมรึเปล่า ?)

    พระประธานในโบสถ์หลังเก่าวัดท้าวโคตรกล่าวว่าเคยมีจารึกบนแผ่นหินระบุนามว่า “พระศรีสัพพัญญุตญาณมุนี” อันนี้ผมว่ามันสะท้อนรอยประทับที่เกี่ยวกับวัดสบค่อนข้างชัด แม้ว่าองคาพยพของวัดสบจะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในฟอร์แมตของวัดท้าวโคตรแล้ว

“วัดกระจก คนกระจาย”

    เมืองนครนี้มันมีลักษณะอย่างที่พูดกันว่าสร้างวัดติด ๆ กัน บางทียังเป็นวัดซ้อนวัด

กรณีวัดพระบรมธาตุนครนี้ ในวัดก็ยังแบ่งตรงที่วิหารโพธิลังกาเป็นอีกวัดเรียก วัดพลับ ขณะที่เหนือขึ้นไปมีถนนแคบ ๆ คั่นคือวัดพระเดิม แล้วมีวัดมังคุดถัดขึ้นไปติดกัน

    ตำนานพระเจ้าศรีธรรมาโศกสร้างวัดท่าช้างอารามหลวง ให้ข้อมูลที่แปลกประหลาดเข้าไปอีก โดยระบุว่า โปรดให้สร้างวัดท่าช้าง โดยให้วัดท่าช้างนั้นมีเจดีย์ฐานช้างล่อหัว แล้วให้สร้างวัดเสมาทอง มีวิหารเจ็ดห้อง แต่ให้วัดเสมาทอง กับวัดท่าช้างนี้ อยู่ในกำแพง (อุปาจารย) เดียวกัน แล้วให้วัดเสมาทองอยู่ในการดูแลของอธิการวัดท่าช้าง ถ้าวัดทั้งสองยังอยู่ มองอย่างไม่รู้เข้าไปมันก็คือวิหารหลวง เจดีย์ประธานของวัดเดียวกันนี่นา แต่ในความจริงกลับแยกเจดีย์เป็นวัดหนึ่ง วิหารเป็นวัดหนึ่ง

    ผมคิดว่าความอินุงตุงนังที่วัดสบนี้มีวัดติดกันมาก ๆ แบบนี้ ส่วนนึงอาจจะเกิดจากลักษณะวัดซ้อนวัดนี้ด้วย แต่ที่พยายามนึกมาทั้งหมดนี้ ก็ไม่มีเอกสารโบราณของเมืองนครเล่มไหนเลย ระบุว่ามีวัดชื่อ “วัดสบตะวันออก” มีแต่สบ สบเดิม

    แล้วแบบนี้เราจะต้องมีทั้งสบเดิม สบตะวันตก สบตะวันออกที่ถูกลืมไปแล้ว อย่างที่เรามีวังตะวันตก วังตะวันออก สวนหลวงตก สวนหลวงออก ?

    จารึกนี้ทำให้รู้ว่ามีกิจกรรมเกิดขึ้นในวัดสบตะวันออกเมื่อ 2183 แต่วัดสบตะวันออกอยู่ตรงไหนแน่ ๆ ในอาณาบริเวณที่เป็นวัดท้าวโคตรปัจจุบัน เราจะบอกได้รึเปล่า แล้วมันวัดเดียวกับวัดสบเดิมด้วยรึเปล่านะเนี่ย

    เมืองนครเป็นเมืองใหญ่ มีเสือหมอบมังกรซุ่มมากมาย บางทีอาจจะมีคนไขปริศนานี้ได้ หรือมีอยู่แล้วแต่เงียบอยู่เพื่อรอเวลาเหมาะ ๆ กันนะ ? ส่วนผมรู้เท่านี้แหละครับ

.

อ้างอิง

(๑) http://wattaocoat.blogspot.com/2010/06/blog-post_12.html

ใส่ความเห็น