ทหารญี่ปุ่นกับภารกิจลึกลับที่ตระพังพระ (ตอน 1)

    คำบอกเล่าโดยเจ้าอาวาสวัดพะโคะ ต่อ Stewart Wavell ใน พ.ศ. 2505 แปลจาก The Naga King’s Daughter

    The Naga King’s Daughter เป็นหนังสือกึ่งบันทึกการสำรวจของ Stewart Wavell นักสำรวจจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ผู้มีปณิธานจะตามหาเมืองอันเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรตามพรลิงค์ ที่ขณะนั้นยังไม่เป็นที่ทราบว่าอยู่ที่ไหน หนึ่งในเบาะแสที่ Mr.Wavell ได้รับจากคุณเยี่ยมยง สุรกิจบรรหาร วิศวกรเหมืองแร่ผู้ชำนาญพื้นที่คือ

ตามพรลิงค์อาจอยู่ที่ระโนด

    แต่ระโนดยามนั้นอาจไม่หลงเหลืออะไรให้พบเห็น โดยคำแนะนำจากหลายทาง Mr.Wavell เดิรทางสำรวจคาบสมุทรสทิงพระเรื่อยมากจนถึงย่านเขาพะโคะเป็นท้ายสุด ภูมิทัศนวัฒนธรรมแสนงามดึงดูดให้เขาขึ้นไปยังยอดเขา และได้สนทนากับเจ้าอาวาสวัดพะโคะขณะนั้น (ซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นสมัยของท่านใด แต่เชื่อว่าจะต้องมีผู้รู้ช่วยแนะนำได้แน่ ๆ ) Mr.Wavell บันทึกบทสนทนานี้โดยละเอียด

    เรื่องราวในบทสนทนานี้น่าสนใจอย่างยิ่ง ผมเลยจะลองทะยอยแปลบางส่วนด้วยสำนวนภาษาที่อาจจะแย่ซักหน่อย และไม่ตรงตัวอักษรนัก เพราะว่าสำนวนของ Mr.Wavell นั้นใช้การพรรณาที่ค่อนข้างโรแมนติก เลยจะลองปรับสำนวนให้ได้อารมณ์ตามที่ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดในภาษาอังกฤษ น่าจะเลอะไปบ้าง แต่คงไม่แปลผิดจนใจความหลักเสียไปมากนักครับ

Chapter 13 – TOWARDS THE RED EARTH KINGDOM

    …หลังจากเดิรทางมาร่วมสองชั่วโมง เราก็มองเห็นฐานจัตุรัสอันลดหลั่นเป็นชั้นเชิงของเจดีย์วัดพะโคะ เจดีย์นี้ไม่คล้ายอย่างที่ใดที่ข้าพเจ้าได้เคยเห็นในเมืองไทย ที่นี่ดูเก่าแก่ยิ่ง กอรปด้วยรูปจัตุรัสสมบูรณ์ กาลเวลาที่โถมกระทั่งได้ทิ้งร่องรอยฝากเอาไว้ทั่วทุกแห่ง ปรากฏอยู่สูงเด่นบนยอดเขาหินปูนท่ามกลางทิวตาล และทุ่งนาราบเรียบสุดลูกหูลูกตา

    มีนาคศิลาขนาดมหึมาอยู่ประจำที่บันไดหินทางขึ้น ลำตัวของนาคนั้นทอดยาวเป็นเส้นตรงขึ้นไปกลายเป็นราวบันได เศียรนั้นชูสูงขึ้นเหนือระดับศีรษะของเราจนถึงบันไดขั้นที่สาม เราค่อย ๆ เลียบตามเส้นทางขึ้นไปพลางใจก็พองโตเมื่อนึกถึงภาพที่จะได้เห็นด้านบน

    จากเหนือลานประทักษิณ ทัศนียภาพทั้งหลายก็ปรากฏกระจ่างชัดแก่สายตา ด้านหนึ่งเห็นไกลข้ามทะเลสาบสงขลาไปถึงยอดเขาของเมืองพัทลุงและรัตภูมิ สำหรับผู้คนเมืองนี้ที่จะต้องรับมือกับบรรดาโจรสลัด ยอดเขาอันสูงสง่านี้ย่อมจะต้องเป็นที่พักพิงให้อบอุ่นใจและเป็นทั้งที่มั่นอันแข็งแกร่ง

    ส่วนทัศนียภาพอีกสามด้านนั้นเขียวขจีด้วยนาข้าว เส้นขอบฟ้าที่ควรจะราบเรียบนั้นได้ถูกรุกรานด้วยทิวต้นโตนดดูประหนึ่งกองกำลังรักษาการกำลังประจำหน้าที่อยู่ห่างออกไป

    ข้าพเจ้าถามเจ้าอาวาสว่าที่นี่มีต้นไม้ที่อาจสกัดเอาหัวน้ำหอมออกมาได้หรือไม่ ท่านว่าหากจะหาน้ำหอมที่ดีนั้นมีอยู่ที่รัตภูมิเรียก “น้ำอบไทย” ส่วนต้นไม้แถบนี้ที่อาจสกัดน้ำหอมออกมาได้นั้นมีชะลูด แก่นจันทน์ และอบเชย ข้าพเจ้ายินดีกับเรื่องที่เจ้าอาวาสบอกยิ่งด้วยเห็นว่าน่าสนใจ

    “ตามมาทางนี้ อาตมาจะพาไปดูอะไร” เจ้าอาวาสกล่าวชวนพลางนำพวกเราเดินผ่านสายตาถมึงทึงของราหูผู้กำลังกลืนกินดวงจันทร์ ไปยังวัตถุบางอย่างแลคล้ายเสาหินซึ่งหักเป็นสองส่วน

ศิวลิงค์ ท่านว่า

พวกญี่ปุ่นย้ายมาจาก “พัง” ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงข้ามถ้ำโคหาย (Cave of the Disappearing Cows)”

    พวกมันบังคับให้พระในวัดไปขนย้ายออกมา แต่โชคไม่ดีที่มาแตกหักเสีย ส่วนฐานของศิวลึงค์ที่ทำด้วยหินยังตั้งอยู่ที่หน้าทางเข้าถ้ำ

    เจ้าอาวาสนำเราไปยังริมลานพระเจดีย์ที่อยู่เหนือเนินหิน ที่ตรงหน้าเนินนั้นเรามองเห็นสระสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ ในสระเต็มไปด้วยกกอ้อ (คงจะราโพ) ที่กลางสระมีเนินดินซึ่งมีต้นไม้เตี้ย ๆ ขึ้นอยู่ ๒ ต้น

    ที่นั่นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะ เจ้าอาวาสว่า ศิวลึงค์ถูกพบจมอยู่ราวฟุตหนึ่งบนเนินนั้น ก่อนพวกญี่ปุ่นจะมา ชาวบ้านไม่เคยกล้าเหยียบย่างลงไปใน “พัง” นั้น เมื่อถูกพวกญี่ปุ่นบังคับให้ขุดก็พบว่าใต้เนินดินนั้นเต็มไปด้วยอิฐ…

ใส่ความเห็น