คนนครศรีธรรมราชกับการอ่านเขียนเรียนขอม

“…เรียนไทยให้คุณแต่ชาตินี้ ที่สุดดีก็เพียงได้เป็นเสมียน
หนังสือขอมถ้าใครได้พากเพียร อุตส่าห์เรียนแล้วผลอนันตัง…”


เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งก็ชื่อว่าเป็นเมืองใหญ่ คนมีปัญญาความรู้ มีศิลปวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองเขาศึกษาเล่าเรียนอย่างไร คำถามที่เจาะจงเฉพาะพื้นที่แบบนี้ยังมีสถานภาพการศึกษาไม่ก้าวหน้านัก

เราพอรู้ว่าเขาอ่านยศกิจ อ่านเจ้าเณรสุบิน อ่านนายดั้นวันคารกันเพื่อฝึกพื้นภาษาให้คล่อง รู้ว่ามีการเรียนกขอนอโมตามสำนักวัดต่าง ๆ ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานอยู่ในประวัติพระคณาจารย์ต่าง ๆ เมื่อตามไปยังวัดที่ปรากฏชื่อหลายวัดยังเห็นคัมภีร์และบุดไม่น้อยซึ่งแสดงว่ามีการเล่าเรียนจริง ยังเคยได้เห็นบุดตำราไว้กอขอนอโมก่อนจะเริ่มเรียนหนังสือไทยหลายเล่มมีสำนวนต่าง ๆ กัน

เรื่องการเล่าเรียนในสมัยโบราณของเมืองนครนี้เป็นโจทย์ที่ผมสนใจเก็บข้อมูลมาหลายปี สนใจอยู่แต่เรื่องเมืองนครนี้เพราะฝังตัวอยู่ที่นี่แล้วพยายามไม่สนใจบ้านเมืองอื่นซึ่งไกลตัวและคนในพื้นที่นั้น ๆ คงทำได้ดีกว่า เวลาเข้าไปทำทะเบียนหนังสือบุดและใบลานก็ทะยอยได้เห็นข้อมูลเป็นเนื้อเป็นหนังมากขึ้น ได้ทะยอยซื้อและขอยืมสิ่งพิมพ์เก่าในรุ่น ร.5-ต้น ร.9 ของเมืองนครมาเก็บไว้เยอะ

น้ำท่วมรอบนี้สิ่งพิมพ์เหล่านี้เสียไปเกือบหมด ผมคิดว่าสิ่งพิมพ์ที่เสียไปส่วนใหญ่อาจจะหาไม่ได้อีกแล้ว ทำให้การอธิบายในบางประเด็นเช่นการปรับการศึกษาของเมืองนครจากยุคเอกสารลายมือเขียนเข้าสู่ยุคสิ่งพิมพ์ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อขาดหลักฐานสำคัญไปเป็นจำนวนมาก งานค้นคว้าเรื่องนี้คงช้าไปอีกหลายปีกว่าจะเจอหลักฐานใหม่มาแทนได้

แต่กลุ่มสำเนาภาพจากหนังสือบุดและใบลานยังมีอยู่ จากที่หลายวันก่อนพบใบลานสองผูกเป็นเหมือนตำราเรียนอักษรขอม ๑๐๑ เมืองเมืองนคร ผูกหนึ่งมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย ผูกหนึ่งมาจากปลายรัชกาลที่ ๓ มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน คือเป็นตำราแสดงแบบอักษรขอมไปทีละวรรค ทีละตัว แสดงการประสมสังโยคอักษรแต่ละตัวเข้ากับตัวเชิงในแต่ละกรณี ๆ จนครบ หลักฐานสองชิ้นนี้ทำให้ง่ายขึ้นที่เราจะมองภาพการเรียนอักษรขอมของชาวนครในสมัยโบราณว่าเขาใช้คู่มือ หรือตำราในลักษณะไหนเป็นตัวยึด

ระหว่างพักจากล้างโคลนในบ้านเลยนึกถึงบุดเล่มนี้ ซึ่งแต่งเป็นกลอนแปดแสดงเหตุผลและความสำคัญของการที่ต้องเรียนอักษรขอม เนื่องจากข้อความที่เขียนผันเสียงเป็นภาษาใต้ การเว้นตัววรรณยุกต์ และการลงตัวสะกดเอกโทแบบนี้ลงตามสำเนียงนคร (ถ้าสุราษฎร์สงขลาหรือพัทลุงจะต่างออกไปบางทีอ่านแล้วเจ็บหัวเหมือนกัน) เชื่อว่าคงเป็นของอยู่ในเมืองนครมาตั้งแต่แรก เนื้อหาน่าสนใจลองอ่านกันดูครับ แต่ปกติกวีนครนิยมใช้ฉันทลักษณ์แบบกาพย์ยานี 11 หรือเรียกว่าราบ/ราพย์ กลอนแปดนี้สำนวนใหม่มาก

เรายังพบว่าในบุดหน้านี้มีการเขียนผิดอยู่สองจุดที่ผู้เขียนมีวิธีแก้ไขคำผิดน่าสนใจ คือในบาทว่า “แม้นโง่เง่าเเตาตุมแต่มีเพียน” ท่านเขียน เ เกินมาแล้วขีดฆ่า เขียน เตาตุน (เต่าตุ่น) เป็น เตาตุม ท่านแก้โดยขีดฆ่า ตัว ม แล้วเติมตัว น ในลักษณะของตัวเชิงอักษรขอมลงมาแทน

อีกจุดหนึ่งคือบาทว่า “ถ้าเรียนไปคงเป็นปราชญอย่าฉลาดจึง” คำว่า อย่า เกินมา ท่านขีดฆ่าออก โดยขีดฆ่าด้วยการทำเครื่องหมายวงกลมเล็ก ๆ สองวงเอาไว้บน อย่า การขีดฆ่าแบบนี้เป็นวิธีที่พบทั่วไปในการขีดฆ่าคำผิดบนใบลาน แสดงว่าท่านผู้เขียนก็คงมีความชำนาญหรือคุ้นเคยในการจารใบลานด้ว

————————
o หนังสือไทยให้คุณวิเศษจริง
ยังไม้ยิ่งเทาขอมอย่าส่งสัย
เรียนไทยได้แล้วจงตั้งใจ
เรียนขอมต่อไปให้ได้รา
o รู้แต่ไทยขอมไม่ได้ก็ไม่ดี
จะเสียที่ที่พบพระศาสนา
ขอมนี้มีคุณมหิมา
เร่งอุตส่าห์สักกี่ชาติจะได้เรียน
o เรียนไท้ยให้คุณแตชาตินี้
ที่สุดดีก็เพียงได้เป็นเสมียน
หนังสือขอมถ้าใครได้พากเพียร
อุตส่าห์เรียนแล้วผลอนั้นตัง

o จะวัฒนาผาสุขไปทุกชาติ
จะนิ้ราศแรมไร้ไกลทุกขัง
จะเสวยสุขโขโอฬารัง
จนกระทั้งตราบเท้าถึงนิพพาน
o หนั้งสือขอมให้ผลพ้นวิสั่ย
หนังสือไทยไหนเลยจะต่อต้าน
หนังสือขอมเรียนไว้ได้ชำนาญ
จะรุ่งรานปัญญาวราไชย
o แม้โง่เง่าเตาตุนแต่มีเพียร
อุตส่าห์เรียนคงฉลาดอย่างสงสั่ย
ถึงโฉดเขล่าเง่างวงประการใด
ถ้าเรียนไปคงเป็นปราชญ์ฉลาดจริง
————————

กลอนเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าการเรียนอักษรขอมตามทัศนะของอาจารย์ชาวนครในสมัยโบราณนั้นมีความสำคัญ ดูเหมือนอาจไม่ใช่ทุกคนที่เรียน แต่หากเรียนได้ก็ส่งเสริมให้เรียน การอ่านเขียนเรียนขอมของชาวนครที่ก้าวเข้าสู่ระบบการศึกษาจึงเป็นเรื่องปกติทั่วไป พูดถึงก็น่าจะชักชวนกันให้กลับมาเป็นเรื่องปกติเหมือนกันเพราะยังมีบุดและใบลานอีกเป็นจำนวนมาก มีความลี้ลับในสายธารประวัติศาสตร์อีกเป็นจำนวนมากให้ค้นหาครับ

* การใช้สระอึ ในกรณีนี้ จึง อ่านว่า จิง (จริง) นี้น่าสนใจพบทั่วไปในใบลานคือรูปแบบประสมของนิคหิต จึ – จิง แต่คงมีซักยุคนึงมันเลือนคือเอาการลงนิคหิตมาประสมกับการลงตัวสะกด ง ตามท้ายด้วย จึงเป็นรูปซ้อน กรณีแบบนี้ยังพบอีกเช่น พระหึง พระพุทธศรีหึง พระสิหึง ซึ่งก็ควรอ่านคำเหล่านี้ ว่า หิง ไม่ใช่ หึง ตามรูปที่เห็น

ใส่ความเห็น