
ในงานศึกษาของผู้เขียนเรื่อง “คนแขกลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา” ตีพิมพ์ในวารสารเมืองโบราณ “สงขลาหัวเขาแดง เมืองสุลต่านสงขลา” ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นบทความที่นำเสนอเรื่องของอัตลักษณ์ ตัวตน รากเหง้าความของมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาผ่านเรื่องราวของระบบคำเรียกเครือญาติ และงานบุญประเพณีประจำปีได้แก่ มูโลด (การทำบุญวันเกิดนบีมูฮัมหมัด) กับ บุญกุโบร์ เป็นประเพณีทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วหรือกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์ที่แต่ละหมู่บ้านจะทำในช่วงเดือน ๔ ๕ ๖ หรือ ๗ ตามปฏิทินจันทรคติ[1]
ในบทความชิ้นนี้ขอนำท่านผู้สนใจมาเรียนรู้งานบุญกุโบร์บ้านดอนขี้เหล็ก ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ซึ่งมีการทำบุญในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี สำหรับปีนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๗ ผู้เขียนได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคสนามในวันที่ ๒๑ และ ๒๒ พฤษภาคมที่ผ่านมา และได้ประสานงานกับทีมสารคดี รายการ “ไทยบันเทิง” ทางช่องไทยพีบีเอส นำโดย คุณน้ำอ้อย แจ่มจิตต์ และคณะลงมาร่วมเรียนรู้และบันทึกเรื่องราวของงานบุญในครั้งนี้ด้วย ซึ่งสามารถติดตามกันได้ในวันอังคารที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗ นี้ เวลา
ประวัติบ้านดอนขี้เหล็ก
บ้านดอนขี้เหล็ก ตั้งอยู่ที่หมู่ ๕ ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา แบ่งบ้านย่อยออกเป็น ๔ กลุ่มบ้าน ได้แก่ บ้านใหญ่หรือในบ้านใหญ่ ,บ้านนอก,บ้านหัวนอนหรือบ้านป่ากอและบ้านป่าขี้เหล็ก จากการสัมภาษณ์ บังร่อเขต บินกะเส็ม ปราชญ์ของหมู่บ้านให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็ก สรุปได้ว่า บริเวณบ้านดอนขี้เหล็กมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ในยุคสุลต่านสุลัยมาน ชาห์ เจ้าเมืองสงขลาสมัยอยุธยาที่หัวเขาแดง ณ บริเวณที่ตั้งบ้านดอนขี้เหล็กแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประจำการของทหารหมวดหนึ่งของเมืองสุลต่านสงขลา ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของคนบ้านดอนขี้เหล็ก ซึ่งเชื่อกันนายทหารเหล่านี้ฝั่งอยู่ในที่กุโบร์บ้านดอนขี้เหล็ก แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ชัดเจนของหลุมฝังศพได้ สำหรับตัวบังร่อเขต บินกะเส็มเอง เล่าว่า มะแก่ของปะ (ย่าของพ่อ) เป็นคนมุสลิมบ้านหัวเขา

บังร่อเขต บินกะเส็ม กับผู้เขียน
จากเรื่องเล่าข้างต้นจะพบว่ามุสลิมบ้านหัวเขานั้นมีความเกี่ยวข้องหรืออยู่สืบเนื่องมาจากยุคนครรัฐสุลต่านสงขลา ผู้เขียนจึงได้สำรวจข้อมูลว่าด้วยคำเรียกเครือญาติของมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กเพื่อศึกษาเปรียบกับมุสลิมยุคนครรัฐสุลต่านที่บ้านสงขลา ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีหลักฐานว่าคือชาวเมืองยุคสุลต่านสงขลา ได้ถูกเทครัวไปจากเมืองสงขลาหัวเขาแดงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ จากการสัมภาษณ์ข้อมูลพบว่า มุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กนั้นใช้คำเรียกเครือญาติเหมือนกันมุสลิมบ้านสงขลา และมุสลิมหมู่บ้านต่างรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นคำเรียกเครือญาติที่เอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างจากมุสลิมมลายูกลุ่มอื่น ๆ แต่ร่วมรากกันในบางคำ เช่น มีการใช้คำว่า “วะ”[2] หมายถึง “ป้า” หรือ “ลุง” ใช้เรียกทั้งพี่สาวและพี่ชายของพ่อหรือเเม่ของตัวเอง ใช้คำว่า “สู” หมายถึง “น้า” หรือ “อา” ใช้เรียกทั้งน้องสาวและน้องของพ่อหรือเเม่ตัวเอง ใช้คำว่า “ปะ” หมายถึง “พ่อ” ใช้คำว่า “มะ” หมายถึง “แม่” ใช้คำว่า “พี่” หมายถึง “พี่สาว”[3] เป็นต้น
ทั้งนี้เครื่องหมายที่ปักบนหลุมฝังศพนั้นมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กเรียกว่า “ไม้แลสัน”[4] คำเรียกนี้เป็นคำเรียกเฉพาะของมุสลิมบ้านสงขลาและมุสลิมรอบลุมน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่งมลายูกลุ่มอื่นเรียกแตกต่างไปจากที่พวกเราเรียกกัน ส่วนหลักฐานซึ่งเป็นบันทึกของทางราชการนั้นพบว่า มีบ้านดอนขี้เหล็กอยู่แล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งปรากฎอยู่เอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ร.๕ ม.๕ ๓/๑ บันทึกไว้ก่อนพ.ศ.๒๔๔๐ ระบุว่า “ บ้านดอนขี้เหล็ก ๑ บาน ๙๔ เรือน”…“อำเภอหลวงอภัยบริรักษ์(อำเภอพะวง)”[5]
ประเพณีบุญกุโบร์
บุญกุโบร์บ้านดอนขี้เหล็กนั้นนอกจากกลุ่มบ้านทั้งสี่ข้างต้นที่มาทำบุญร่วมกัน พบว่ายังมีหมู่บ้านอื่น ๆ อีกสามหมู่บ้านคือ บ้านควนหิน บ้านคลองลึก(ปลักโหนด)และบ้านนาโหนด ซึ่งอยู่ในหมู่ ๓ ตำบลพะวง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา มาร่วมทำบุญที่นี่เช่นเดียวกันเนื่องจากใช้กุโบร์บ้านดอนขี้เหล็กฝังร่างของบรรพบุรุษเช่นเดียวกัน
ก่อนถึงวันทำบุญกุโบร์จะมีประชุมร่วมกันของผู้นำทางศาสนาจากทุกหมู่บ้าน โดยมีการนัดหมายพัฒนาทำความสะอาดกุโบร์ร่วมกันก่อน ในช่วงเย็นของวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗ ผู้เขียนกับ คุณจันทรัสม์ จันทรทิพรักษ์(สถาปนิกชุมชน) เป็นวันก่อนทำบุญหนึ่งวันเรียกว่า “วันทำต้มทำขนม” ได้ลงพื้นที่ไปสำรวจข้อมูลภาคสนามกันก่อ น โดยมีเจ้าบ้านที่น่ารักเพื่อนของผู้เขียน คุณครูสุไบด๊ะ สายสลำ เป็นผู้นำสำรวจ
ในวันนี้ถือได้ว่าเป็นวันที่มีสีสันและน่าสนใจอย่างยิ่งเพราะแต่ละบ้านจะมีการทำขนมที่ใช้ในงานบุญโดยเฉพาะ ๑.“ต้ม” ข้าวเหนียวผัดกับกะทิห่อด้วยใบกะพ้อเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม จากการสำรวจพบว่ามีคติการทำต้มตัวผู้และห่อต้มที่สะท้อนอัตลักษณ์การห่อของคนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาได้อย่างเด่นชัด แตกต่างจากต้มของผู้คนในวัฒนธรรมและพื้นที่อื่น ๆ บนคาบสมุทรมลายู

๒.“ข้าวต้ม” ทำจากข้าวเหนียวแบบเดียวกับต้มแต่มีการเพิ่มกล้วยทำเป็นไส้เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยนางยา ใช้ใบตองห่อแทนใบกะพ้อแล้วนำมาปะกบกันสองชิ้น มัดด้วยเชือกกล้วยหรือวัสดุอื่น ๆ โดยทั่วไปนิยมมัดเพียงสองตำแหน่ง คือบริเวณค่อนไปทางส่วนปลายทั้งสองด้านของขนม นำไปต้มให้สุก เมื่อแกะออกมาจะได้ขนมที่มีลักษณะนูนคล้ายภูเขาสามลูก

๓.“ขนมเทียน” หรือ “ขนมห่อ” ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมฟักทองน้ำตาลทรายห่อด้วยใบกล้วยให้มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า[6] ขนมทั้งสามอย่างนี้ผู้เขียนพบว่าทุกบ้านที่ได้ไปสำรวจจะทำกัน

และจากการสัมภาษณ์ข้อมูลปะแก่มานพ เหมชรา(บู) อายุ ๖๘ ปี พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า สมัยก่อนการทำบุญกุโบร์ใช้เวลาเตรียมการอย่างน้อย ๗ ถึง ๑๕ วัน มีการทำขนมหลายอย่าง เท่าที่จำความได้มีดังนี้ ต้ม ข้าวต้ม ขนมเจาะหู ขนมเทียน คอเป็ด ขนมก้อ ข้าวพอง โดยผู้ใหญ่จะเลือกเฉพาะอันที่สวย ๆไว้ทำบุญ ชิ้นไหนไม่สวยจะส่งให้เด็ก ๆ กินกัน แกว่าเป็นที่สนุกสนานมากตอนเป็นเด็กในช่วงบุญกุโบร์ เพราะได้กินขนมหลากหลายชนิด
ส่วนอาหารพิเศษได้แก่ ขนมจีน น้ำแกงกะทิทำจากปลาช่อนเป็นหลัก เนื่อ’จากช่วงนี้เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วน้ำในคลองลดลงจึงมีการวิดน้ำหาปลากัน และมีเมนู “ปลาดุกเจี้ยน” หรือ “ปลาดุกทอด” เป็นอีกเมนูที่นิยมทำกันสมัยก่อนเมื่อมีงานบุญกุโบร์ โดยนำปลาดุกนามาคลุกด้วยเครื่องที่ตำจากกระเทียม หอมแดง พริกไทย เกลือ ถือเป็นอาหารหรอยคู่งานบุญกุโบร์น่าเสียดายที่ปัจจุบันไม่มีใครทำกันแล้ว ส่วนขนมจีนนั้นในอดีตจะทำกันเองแต่ปัจจุบันจะหาซื้อมาแทน

ขนมต่าง ๆ ที่ทำนั้นนอกจากจัดใส่สำรับเพื่อเลี้ยงทำบุญให้กับ “โต๊ะ” ซึ่งเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า “แซเราะกุโบร์” หรือ “ซิยาเราะกุโบร์” มีรากมาจากภาษอาหรับมีความหมายว่า “เยี่ยมเยียน” คือการอ่านอัลกรุอ่าน ขอดูอาร์ ที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เชิญมาจากต่างหมู่บ้าน รวมถึงจากโรงเรียนปอเนาะต่าง ได้รับประทานกันแล้ว ขนมเหล่านี้ยังใช้สำหรับ “ดับจาด” คือการนำมาประดับใส่ภาชนะในอดีตจะใช้กาบของต้นหลาวชะโอนเย็บเป็นภาชนะเรียกว่า “ตูหมา” (ภาษามลายูกลางเรียกว่า Timba) ตอนหลังเปลี่ยนไปใช้ถังพลาสติกที่หาซื้อได้สะดวกแทน
ซึ่งผู้เขียนได้เก็บข้อมูลการดับจาดในตอนเช้าของวันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗ โดยมะแก่ซีเข๊าะ (สายสลำ) เหมชรา เป็นผู้ดับจาดที่บ้านของท่านให้ได้บันทึกข้อมูลไว้ ในเช้าวันนี้ทางทีมสารคดีไทยบันเทิงได้เริ่มต้นถ่ายสารคดีที่นี่ ก่อนถึงเวลาถ่ายทำบังตอฮีตร์ สายสอิด มุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กอีกท่านหนึ่งที่ให้การช่วยเหลือในการลงพื้นที่ เป็นผู้ประสานงานติดต่อกับท่านอีหม่ามของบ้านดอนขี้เหล็ก(ในบ้านใหญ่) ได้มาร่วมให้ข้อมูลด้วย โดยบังตอฮีตได้กลับไปนำมา “ตูหมา” สมัยก่อนมาให้ทางคณะทางบันทึกภาพเก็บไว้ด้วย

ขั้นตอนพิธีกรรม
หลังจากนั้นทางคณะของพวกเรา ได้เดินทางมายังกุโบร์บ้านดอนขี้เหล็ก สถานที่ที่ผู้คนจากหมู่บ้านต่าง ๆในละแวกนี้ มาทำบุญร่วมกันในวันนี้มีสีสันและความคึกคักเป็นอย่างมาก โดยมีผู้ชายเป็นผู้ทำพิธีอยู่ภายในบริเวณกุโบร์ ร่วมกับโต๊ะที่เชิญมาในครั้งนี้ประมาณ ๒๕๐ คน หลังจากทำพิธีแซเราะแยกกันตามแต่ละตระกูลเสร็จ โต๊ะทั้งหมดจะทำ “พิธีอัรวะ” รวมกันทั้งหมดอีกครั้ง เป็นการอ่านอัลกุรอ่านขอดูอาร์อุทิศให้กับผู้ล่วงลับทั้งหมดที่ฝังอยู่ในกุโบร์บ้านดอนขี้เหล็กร่วมถึงมุสลิมที่ล่วงลับไปแล้วทั่วโลก เรียกว่า “กุลลูฮุม”


ในส่วนของผู้หญิงนั้น ในขณะที่ผู้ชายประกอบพิธีกรรมข้างต้น กลุ่มผู้หญิงก็จะมานั่งรวมตัวกันที่ศาลาอีกหลังหนึ่ง เพื่อตระเตรียมอาหารคาวหวาน จัดเป็นสำรับโดยที่บ้านดอนขี้เหล็กนั้นถือได้ว่ามีความงดงามเป็นอย่างมากเพราะโดยส่วนใหญ่ยังรักษาวัฒนธรรมการจัดสำรับอาหารโดยใช้พาน ซึ่งหมู่บ้านมุสลิมรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอื่น ๆ ได้ละทิ้งการใช้พานกันหมดแล้วเปลี่ยนมาใช้ถาดแทน
จากการเดินเก็บภาพและสัมภาษณ์ข้อมูลพบว่า อาหารที่จัดมาในสำรับนั้นมีความหลากหลายมากแล้วแต่ความพร้อมของแต่ละครอบครัว ขนมจีน น้ำแกงกะทิหลายครอบครัวยังจัดใส่ในสำรับเหมือนอย่างในอดีต รวมถึง ต้ม ข้าวต้ม ขนมเทียน ขนมเจาะหู ด้วย ทั้งนี้การทำขนมจีนในงานบุญกุโบร์นั้นผู้เขียนพบว่ามุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาหลายหมู่บ้าน ยังคงรักษาคตินี้เช่นเดียวกัน
เมื่อจัดอาหารในพานเสร็จ ผู้ชายก็จะทำหน้าที่ยกไปตั้งเรียงไว้ที่ศาลาอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกุลลูฮุมและรับประทานร่วมกันของโต๊ะที่เชิญมา สำรับอาหารตั้งอยู่บนพานที่มีฝาชีครอบสีสันสดไสและลวดลายลายที่เป็นเอกลักษณ์ มองดูแล้วเป็นภาพที่งดงามเป็นอย่างมาก ใกล้กันจะมี “จาด” ซึ่งแต่ละครอบครัวนำมาด้วยตั้งอยู่ภายในเต้นท์ สำหรับปีนี้จาดมีทั้งหมด ๖๐๐ ถัง ซึ่งหลังจากโต๊ะรับประทานอาหารเสร็จแล้วจะมอบเป็นของชำรวยหรือของขวัญให้นำกลับไปบ้านด้วย

หลังจากโต๊ะรับประทานอาหารเสร็จจึงมีการแจกจาดและเหล่าแม่บ้านผู้หญิงต่างทยอยมานำพานของตนเองกลับ โดยยกขึ้นบนหัวแล้วทูนกลับไปยังศาลาอีกหลัง บางท่านที่บ้านอยู่ไม่ไกลก็ทูนพานกลับไปที่บ้าน เป็นภาพบรรยากาศที่งดงามน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะการทูนพานนั้นหาดูได้ยากแล้วเท่าที่สังเกตพบว่ามีเเต่ผู้สูงอายุที่ยังทูนพานเป็น ได้แต่หวังว่าลูกหลานคนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านจะสืบสานและรักษาประเพณีนี้เอาไว้ เพราะไม่ได้เป็นเพียงการรักษาประเพณีเฉพาะบ้านดอนขี้เหล็กเอาไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษาประเพณีของความมุสลิมสงขลาหรือมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาเอาไว้ด้วย ซึ่งถือที่เป็นสุดท้ายเเล้วของบ้านเราดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นบทความ

บุญกุโบร์บ้านดอนขี้เหล็กนั้นถือได้ว่าเป็นงานบุญประเพณีประจำปีที่คนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งฝังบรรพบุรุษร่วมกัน ณ กุโบร์บ้านดอนขี้เหล็กได้มาทำบุญเพื่อเนี๊ยต(อุทิศ)ให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชุมชน ของผู้คนที่มีพื้นที่ทางจิตวิญญาณร่วมกัน อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์กัน การมีรากเหง้าร่วมกันมาของมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างเด่นชัด เพราะมีจารีตที่จะต้องเชิญผู้รู้ทางศาสนาจากหมู่บ้านต่าง ๆ มาร่วมด้วย ทั้งนี้งานบุญกุโบร์นี้ที่เราทำกันนี้พบว่ามุสลิมที่บ้านสงขลาเมืองไชยา ก็มีคติการทำบุญกุโบร์ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เช่นกันคือในช่วงเดือน ๔ ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นที่น่าสังเกตว่ามลายูกลุ่มอื่น ๆ ไม่มีคติการทำบุญในช่วงเวลานี้เหมือนคนมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ถึงเเม้ว่ามลายูกลุ่มอื่น ๆก็ยังคงรักษาคติการทำบุญให้บรรพบุรุษเช่นเดียวกัน อาทิ คนนายู(มุสลิมแกเเจะนายู) ในชายแดนใต้บางพื้นที่จะทำในช่วงวันที่ ๗ ของเดือนเชาวาลเรียกว่า รายอแน และไม่มีการดับจาดเหมือนมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา[7]

หลุมศพโต๊ะปราศัย มุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กเล่าต่อกันมาว่า ท่านเป็นชาวมลายูเป็นผู้รูัทางศาสนาเชื่อกันว่าเป็นบุคคลท่านแรกที่ฝัง ณ กุโบร์บ้านดอนขี้เหล็ก ผู้เขียนเชื่อว่า โต๊ะปราศัย คำว่า ปราศรัยตามสำเนียงการเรียกของมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็กนั้น หมายถึง รัฐปาไซ ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย ในอดีตนั้นนครรัฐปาไซนั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ศาสนาอิสลาม ซึ่งสุสานโต๊ะปาไซยังพบที่ปัตตานีอีกด้วย ดังนั้นคำว่า โต๊ะเป็นคำที่ใช้เรียกเพื่อเป็นคำยกย่องในวัฒนธรรมมลายู โต๊ะปาไซหรือโต๊ะปราศรัย หมายถึงบุคคลที่มาจากรัฐปาไซนั่นเอง

ที่มา
[1] สามารถ สาเร็ม พิมพ์รวมเล่มอยู่ในวารสารเมืองโบราณ “สงขลาหัวเขาแดงเมืองสุลต่านสุไลมาน ปีที่ ๔๔ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๖๑ อ่านเพิ่มเติมใน : https://www.facebook.com/samartsarem/posts/pfbid02G71SPMbCoa2jLEfDQo2PQCBC1rheyQGNVBGCqMG2rYqtZj79AimP3kWKKxDENtRXl
[2] คำเรียกเครือญาติมุสลิมบ้านดอนขี้เหล็ก ผู้เขียนสัมภาษณ์ข้อมูลจากคุณครูสุไบด๊ะ สายสลำ มีการใช้ดังนี้ โต๊ะหยังหมายถึง ทวด,ปะแก่หมายถึง ตาหรือปู่,มะแก่หมายถึง ยายกับย่า,ปะหมายถึงพ่อ,มะหมายถึงแม่, วะหมายถึงลุงกับป้า,สูหมายถึงน้ากับอา,จูใช้เรียกลูกคนสุดท้อง,บังหมายถึงพี่ชาย,พี่หมายถึงพี่สาว,น้องหมายถึงน้องชายหรือน้องสาว และคำเรียกเครือญาติของมุสลิมบ้านสงขลาสัมภาษณ์ข้อมูลจากคุณครูสะอาด ร่าหมาน มีการใช้ดังนี้ โต๊ะหมายถึงทวด,โต๊ะชายหมายถึง ตาหรือปู่,โต๊ะหญิงหมายถึง ยายหรือย่า,ปะหมายถึงพ่อ,มะหมายถึงแม่, , วะหมายถึงลุงกับป้า,สูหมายถึงน้ากับอาบังหมายถึงพี่ชาย,พี่หมายถึงพี่สาว,น้องหมายถึงน้องชายหรือน้องสาว และคำว่าปะแก่นั้นที่บ้านสงขลาใช้เรียกเฉพาะสุลต่านมุสตาฟา บุตรสุลต่านสุลัยมานว่า มัรหุมปะแก่ ส่วนพงศาวดารเมืองไชยาเรียกว่า มะระหุมปะแก่ อ่านเพิ่มเติมได้ใน : https://savesingora.com/?s=%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88
[3] “พี่” คำเรียก “พี่สาว” ของมุสลิมที่สืบรากเหง้าจากยุคนครรัฐสุลต่านสงขลาสมัยอยุธยา อ่านเพิ่มเติมใน : https://savesingora.com/?s=%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88
[4] ไม้แลสัน อ่านเพิ่มเติมได้ใน : https://kyproject19.wixsite.com/kidyang/post/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B2
[5] คัดมาบ้างส่วนจากอนุสรณีย์ สุชาติ รัตนปราการ อ้างในเอกสารของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร ร.๕ ม.๕ ๓/๑
[6] ขนมเทียนอ่านเติมได้ใน : https://savesingora.com/2024/02/08/%e0%b8%82%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%99-%e0%b8%82%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%84%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a1-%e0%b8%aa%e0%b8%b9/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR05xB3yaAx-VfVLJxptu7w9oS5OTWf0N1PI22B7Z4qxaSCBbztzKY0vhjk_aem_AU11SdUG-ZgKVItBycdMkbXzzCzMcl1ctvaB8RmBJO91LSJaOSmuJ9NGSlJfHTMZonF4sjdkmqrE_tL-zr8YrCZ4
[7] บุญกุโบร์ : ทำบุญให้บรรพบุรุษของคนแขกมลายูลุ่มเลสาบสงขลา พิมพ์ในสงขลาใกล้ๆทะเล คอลัมส์ รักษ์มรดกซิงฆูรา อ่านบทความฉบับเต็ม https://bit.ly/41DwC5Y
ขอขอบคุณ
คุณครูสุไบด๊ะ สายสลำ
วะร่อเขต บินกะเส็ม
บังตอฮีตร์ สายสอิด
ปะแก่มานพ เหมชรา
มะแก่ซีเข๊าะ (สายสลำ) เหมชรา