
“สุเหร่า” เป็นคำภาษามลายู ซึ่งมีความหมายเดียวกับคำว่า “มัสยิด” ในภาษาอาหรับ ซึ่งคนมุสลิมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาใช้คำว่า “สุเหร่า” มาก่อนคำว่า “มัสยิด” บทความนี้ ขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านรู้จักกับสุเหร่าที่มีความน่าสนใจอีกแห่งหนึ่งได้แก่ “สุเหร่าบ้านทรายขาว” หรือที่เรียกในอีกนามหนึ่งว่า “มัสยิดร่อมันอับญาต” ตั้งอยู่ที่หมู่ ๗ บ้านทรายขาว ตำบลทุ่งหวัง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา สุเหร่าหลังนี้มีความโดดเด่นเพราะสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบพื้นถิ่นของมุสลิมมลายู – ชวา ซึ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาในปัจจุบันยังคงเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง

ตัวอาคารเป็นผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะฐานของอาคารเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย ช่องลมฉลุเป็นลายประจำยามก้ามปู วางในแนวตั้ง เสาหลักทั้งสี่ของอาคาร ตำแหน่งหัวเสาทำเป็นกลีบบัว หลังคาทรงปิรามิดซ้อนสองชั้น มุงด้วยกระเบื้องดินที่ผลิตขึ้นในลุ่มทะเลสาบสงขลา ส่วนด้านบนยอดหลังคาประดับด้วย “โดม” ซึ่งทำจากปูน เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า “ลูกโป่ง” ส่วนฐานเป็นกลีบดอกไม้ และส่วนยอดโดมเป็นเสาประดับจันทร์เสี้ยวและดาวห้าแฉก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาอิสลาม และเหนือขึ้นไปจากรูปจันทร์เสี้ยว มีการทำเป็นลูกศรชี้ขึ้นบนฟากฟ้า

ทางด้านทิศตะวันตก มีหน้ามุขยืนออกไปเรียกว่า “เมี๊ยะรอบ” สวนยอดของหลังคาประดับด้วยเสาปูน ส่วนบนยอดมีลักษณะกลม ตำแหน่งของ “เมี๊ยะรอบ” คือพื้นที่สำหรับโต๊ะอีหม่ามยืนนำละหมาด และใช้เป็นพื้นที่ตั้ง “มิมบัร” หรือแท่นสำหรับเทศนาธรรมในการละหมาดวันศุกร์หรือวันรายาทั้งสอง
ทางด้านทิศตะวันออกของสุเหร่ามีการสร้างอาคารขวางเชื่อมต่อกัน คนมุสลิมทรายขาวเรียกว่า “นาซะ”[๑] ซึ่งเป็นคำเรียกแบบ มุสลิมในลุ่มทะเลสาบสงขลา ในอดีตใช้สำหรับเรียนหนังสือความรู้ทางศาสนา ปัจจุบันมีการสร้างอาคารเรียนแยกออกไปต่างหากแล้วเรียกว่า “โรงเรียนแขก” (โรงเรียนสอนความพื้นฐานทางศาสนาอิสลาม)
พื้นที่ซึ่งเคยเป็น “นาซะ” เดิม ปัจจุบันจึงใช้เป็นพื้นที่สำหรับรับประทานอาหาร เมื่อมีการทำบุญมูโลด (ทำบุญวันเกิดนบี) อันเป็นงานประจำปีของชุมชน มีการปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุมุงหลังคา เป็นกระเบื้องแบบสมัยใหม่ แดนจากกระเบื้องดินแบบดั้งเดิม และยังคงเก็บรักษากลองที่เคยใช้เพื่อ ตีบอกเวลาละหมาดในอดีต ไว้ทางด้านทิศเหนือของอาคาร
จากข้อมูลในหนังสือ “วิจิตรสถาปัตย์ปาตานี” โดยคุณสุกรี มะดากะกุล ผู้รับผิดชอบโครงการ มีการนำเสนอข้อมูล ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ รูปทรงของหลังคาทรงปิรามิด ไว้ดังนี้
“…คติความเชื่อในเรื่อง ฆูนุงงัน (Gunungan) ถูกใช้เป็นองค์ประกอบในงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นในแหลมมลายู โดยมากมักใช้กับอาคารสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทั้งในสุเหร่าหรือมัสยิด เรือนที่พักอาศัยและกุโบร์ (สุสาน)มีการใช้คติความเชื่อนี้ออกมาในรูปแบบของลวดลายและสลักที่เป็นองค์ประกอบของอาคารและรูปทรงของหลังคาอาคาร เช่น การใช้หลังคารูปทรงที่มียอดแหลมคล้ายปิรามิด คำว่า ฆูนุงงัน (Gunungan) ในภาษามลายู – ชวา หมายถึงภูเขาสูงและในเกาะชวามีการใช้คำว่า Sumeru มาใช้เรียกชิ้นส่วนในงานสถาปัตยกรรมท้องถิ่นที่มีการก่อรูปแบบ Gunungan อีกด้วย สถาปัตยกรรมเก่าแก่ในชวา มีการใช้หลังแบบทรงปิรามิดกับอาคารศาสนสถานและสถานที่ทีคนเคารพหรือถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะแพร่หลายเข้ามาในภูมิภาคนี้ เชื่อกันว่าการสร้างรูปทรงหลังคาแบบปิรามิด น่าจะมาจากความเชื่อเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในคติความเชื่อของศาสนาฮินดู คือเขาพระสุเมรุ หรือ เขาไกรลาศ จนเมื่อศาสนาอิสลามได้แพร่หลายในภูมิภาคนี้ การสร้างสุเหร่าหรือมัสยิดในสมัยนั้นก็ยังคงยึดรูปแบบและความเชื่อในการสร้างศาสนสถานแบบเดิมมาปรับเปลี่ยนใช้เป็นศาสนสถานของศาสนาอิสลามแทน โดยยังคงยึดถือคติความเชื่อเดิม มาใช้เป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์และความสูงส่งของสถานที่ประกอบศาสนกิจ ถึงแม้ว่าผู้คนที่นับถือศาสนาฮินดูในภูมิภาคนี้จะเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาพุทธและอิสลามมาหลายร้อยปี แต่คติความเชื่อนี้ก็ยังปรากฎอยู่ทั้งในศาสนสถานของศาสนาอิสลามและของศาสนาพุทธ…”[๒]
สำหรับในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ปัจจุบันสุเหร่ หรือมัสยิดที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบข้างต้น ยังคงพบที่
๑.บ้านหัวเขา ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร เรียกว่า “สุเหร่าใหญ่ในบ้าน” มีชื่อทางการว่า “มัสยิดยาบัลโหรดเหร๊าหม๊ะ”
๒.บ้านเขารักเกียรติ ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ คือ “มัสยิดดารุสลาม”
๓.บ้านคูขุด ตำบลคูขุด อำเภอสทิงพระ มีชื่อทางการว่า “มัสยิดยูมัลอิสลาม” (เดิมมีผังสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายหลังต่อเติมออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า)
๔.บ้านคลองลึก ตำบลพะวง อำเภอเมือง พบบาลายของปอเนาะคลองลึก
๕.บ้านท่าช้าง ตำบลคลองแห อำเภอหาดใหญ่ พบอาคารครอบหลุมฝังศพของอัลมัรฮูม ต่วนฆูรู อุสมานบินรอหีม
ประวัติสุเหร่าบ้านทรายขาว
จากการลงสำรวจภาคสนามของผู้เขียนร่วมกับ อาจารย์ศุกรีย์ สะเร็ม นักประวัติศาสตร์มุสลิมสยาม เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๑ โดยได้สัมภาษณ์เก็บข้อมูล จากคนในชุมชนบ้านแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุสามารถสรุป ได้ว่า
สุเหร่าหลังเดิมนั้นสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งของโรงเรียนแขก (โรงเรียนสอนความพื้นฐานทางศาสนาอิสลาม) สุเหร่าที่บทความกำลังกล่าวถึงสร้างเป็นหลังที่สอง และในปัจจุบันมีการสร้างเพิ่มเติมเป็นหลังที่สาม เป็นอาคารปูนยกใต้ถุน มียอดเป็นโดม
นอกจากนี้พบว่า ภายในตัวอาคารสุเหร่าหลังที่สอง บริเวณผนังด้านนอก ฝั่งทิศเหนือมีการทำจารึกปูนที่ระบุถึงปีที่สร้าง เป็นตัวอักษร ภาษาไทยถิ่นใต้และภาษามลายูอักษรยาวี ไว้สองตำแหน่งดังนี้

ตำแหน่งที่ ๑
จารึกภาษาไทยถิ่นใต้ สังเกตได้จากการใช้คำว่า ทำเสร็จ มีข้อความว่า
“…ทำเสร็จวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2491…”

ตำแหน่งที่ ๒
จารึกภาษามลายูอักษรยาวี มีข้อความว่า
سوده تمام
فد سنه نبي
1367
อาเนาะ ปันตัย (นามแฝง) แปลได้ว่า “…สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี (ฮิจเราะฮ์) ของท่านนบี…”[๓]
จากจารึกทั้งสองได้ให้ข้อมูลว่าสุเหร่าหลังนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ.๒๔๙๑ หากนับถึงปัจจุบัน สุเหร่าหลังนี้จะมีอายุ ๗๗ ปี
อักขระศิลป์ที่พบในสุเหร่าหลังนี้

ตำแหน่งที่ ๑ ทางทิศเหนือของตัวอาคารเหนือประตูทางเข้าทั้งสองฝั่ง มีการประดับปูนปั้นเป็นภาษาอาหรับ ตัวอักษรอาหรับ เป็นคำกล่าวปฏิญาณ (ชาฮาดะห์)
๑.บนประตูซ้าย ระบุคำว่า
لَا إِلٰهَ إِلَّا الله
อ่านว่า “…ละอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์…”
มีความหมายว่า “…ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์…”

๒.บนประตูทางขวา ระบุคำว่า
مُحَمَّدٌ رَسُولُ الله
อ่านว่า “…มูฮัมหมัดรอซูลลุลลอฮ์…”
มีความหมายว่า “…ท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์…”
ตำแหน่งที่ ๒ พบบริเวณแผงคอสองของตัวอาคาร มีข้อมูลดังนี้

รูปที่ ๑ มีระบุตัวเลขไทย ๒๔๘๐ ตัวเลขดังกล่าวผู้เขียนสันนิษฐานว่าคือปีที่เริ่มก่อสร้าง และมีต้นไม้สี่ต้น ต้นไม้ขวาสุดและต้นที่สองและสามจากขวา มีดอกไม้สี่กลีบอย่างละหนึ่งดอก ส่วนต้นซ้ายสุดมีดอกไม้สี่กลีบกับสามกลีบอย่างละหนึ่งดอก

รูปที่ ๒ มีอักษรอาหรับสองบรรทัด บรรทัดแรกระบุคำว่า
لَا إِلٰهَ إِلَّا الله
อ่านว่า “…ละอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์…”
มีความหมายว่า “…ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลอัลลอฮ์…”
บรรทัดที่สอง ระบุคำว่า
مُحَمَّدٌ رَسُولُ الله
มีความหมายว่า “…ท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของอัลลออ์…” และประดับด้วยต้นไม้สีเหลืองหนึ่งต้นบริเวณมุมด้านซ้าย

รูปที่ ๓ ไม่มีอักษรอาหรับประดิษฐ์ มีต้นไม้สามต้น ระหว่างต้นไม้ทั้งสามมีดอกไม้แปดกลีบประดับอยู่

รูปที่ ๔ มีอักษรอาหรับสองคำคือว่า คำว่า “อัลลอฮ์” กับ คำว่า “มูฮัมหมัด” ตำแหน่งตรงกลางเป็นรูปต้นไม้ฝั่งขวามีคำว่า “มูฮัมหมัด” ส่วนฝั่งซ้ายมีคำว่า “อัลลอฮ์” และทางขวาสุดกับซ้ายสุดมีดอกไม้สีกลีบประดับอยู่ฝั่งละหนึ่งดอก

รูปที่ ๕ ไม่มีอักษรอาหรับ มีต้นไม้สามต้น มองเห็นดอกไม้หนึ่งดอกสันนิษฐานว่ามีแปดกลีบ

รูปที่ ๖ ไม่มีอักษรอาหรับ ทำเป็นรูปต้นไม้สามต้น ต้นทางซ้ายประดับดอกไม้สี่กลีบหนึ่งดอก ต้นตรงกลางประดับดอกไม้สี่กลีบแปดดอก ต้นขวาปูนปั้นหลุดออกไปแต่ยังมีร่องรอยรูปต้นไม้

รูปที่ ๗ ไม่มีอักษรอาหรับ มีต้นไม้สองต้น กับดอกไม้สี่กลีบหนึ่งดอกอยู่ตรงกลางระหว่างต้นไม้ ต้มไม้ทางขวามีสภาพปูนปั้นหลุดร่อนออก

รูป ๘ มีลักษณะเป็นลายเครือเถาประกอบลายพรรณพฤกษาและลายประจำยาม

รูปที่ ๙ มีลักษณะเป็นลายเครือเถาประกอบลายพรรณพฤกษาและลายประจำยาม
สรุป
สุเหร่าบ้านทรายขาวมีการทำอักษรอาหรับประดิษฐ์แบ่งออกเป็นสองบริบทคือ
๑.อักษรประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสุเหร่ามีสองตำแหน่งโดยปั้นปูนเป็นภาษาไทยถิ่นใต้ กับภาษามลายูอักษรยาวี
๒.อักษรประดิษฐ์เกี่ยวข้องกับข้อความทางศาสนาอิสลาม ประกอบไปด้วย คำว่า
อัลลออ์ห์ พระนามของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม
มูฮัมหมัด ชื่อศาสดาคนสุดท้ายในศาสนาอิสลาม
และข้อความปฏิญาณตนในศาสนาอิสลาม (ชาฮาดะ)
เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสามข้อความข้างต้น สุเหร่าที่มีการทำอักษรอาหรับประดิษฐ์ประดับในพื้นที่ลุ่มทะเลสาบสงขลาจะนิยมทำข้อความนี้แทบทั้งสิ้น และการประดับลวดลายเป็นลายเป็นพืชพรรณ อาจสืบเนื่องจากศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้ทำรูปบุคคลหรือรูปสัตว์ ช่างจึงทำเป็นลวดลายต้นไม้ดอกไม้มาประดับแทน
ทั้งนี้โดยทั่วไปมุสลิมในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาจะมีคติเกี่ยวกับต้นไม้บนสวรรค์ มนุษย์ทุกคนจะมีชื่อเขียนอยู่ที่ใบของต้นไม้ต้นนี้ มีความเชื่อว่า ๔๐ วันก่อนสิ้นชีวิตใบไม้ที่มีชื่อของบุคคลนั้นจะร่วงหล่นจากต้น ผู้เขียนสันนิษฐานว่าการประดับตกแต่งสุเหร่าด้วยลวดลายต้นไม้อาจจะสืบเนื่องจากคตินี้เพื่อเป็นสิ่งย้ำเตือนให้กับมนุษย์ได้รำลึกถึงความตายนั้นเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อความชาฮาดะที่ถูกนำมาประดับใกล้กันเพราะเป็นข้อความสำคัญที่คนเป็นจะพูดที่บริเวณหูให้กับผู้ที่กำลังจะสิ้นลมได้กล่าวตามเรียกว่า “มูจับ” เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้กล่าวประโยคนี้ก่อนสิ้นลมจะได้เข้าสวรรค์ในวันโลกหน้า(อาคีรัต)
โครงการ เรขศิลป์นิเวศวัฒนธรรมมุสลิมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
The Graphic Art of Muslim Cultural Ecology of Songkhla Lake Basin
สนับสนุนโดยกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๘
วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๘
อ้างอิง
[๑] สามารถ สาเร็ม.ชื่อเสียงเรียงนาม : ลักษณะเฉพาะของศาสนสถานเนื่องในศาสนาอิสลามลุ่มทะเลสาบสงขลา. สืบค้นออนไลน์ : https://shorturl.asia/wu9j8
[๒] สุกรี มะดากะกุล(เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ).วิจิตรสถาปัตย์ปาตานี Seni Bina Patani (หน้า 61 – 62) : สนับสนุนโดย มูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน,Minority Right Group (MRG),โดยการสนับสนุนของสหภาพยุโรป European Union – EU
[๓] อาเนาะ ปันตัย (นามแฝง) ผู้แปล เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธุ์ ๒๕๖๔ อ้างใน สามารถ สาเร็ม. ชื่อเสียงเรียงนาม : ลักษณะเฉพาะของศาสนสถานเนื่องในศาสนาอิสลามลุ่มทะเลสาบสงขลา.(บทความอออนไลน์).สืบค้นจาก : https://bit.ly/3RV483D