
มะแก่ย๊ะ
ตลาดสดย่านพล่าซ่า หรือที่ชาวหาดใหญ่คุ้นปากกันว่า “หน้าหอ” อันเนื่องมาจากหอนาฬิกาที่ตั้งตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ คือหนึ่งในย่านที่ไม่มีวันหลับใหลของเมืองหาดใหญ่ ที่นี่คือจุดบรรจบของสรรพสิ่ง ทั้งของกิน ของใช้ และวิถีชีวิตของผู้คนจากทั่วสารทิศที่หมุนเวียนมาพบกันตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผม ผู้ที่เติบโตในบ้านควน ตำบลคูเต่า ซึ่งตั้งอยู่ปลายน้ำคลองอู่ตะเภาเชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลา (เลใน) ย่านพล่าซ่าแห่งนี้ผูกพันกับความทรงจำในวัยเยาว์อย่างแนบแน่น แม้ในรุ่นของผม การสัญจรทางเรือจากคลองอู่ตะเภาเข้าสู่หาดใหญ่จะเป็นเพียงเรื่องเล่าจากญาติผู้ใหญ่ แต่ภาพของคิวรถประจำทางรอบนอกที่จอดรอรับผู้โดยสารบริเวณนี้ยังคงชัดเจน
ผมยังจดจำเสียงนายคิวที่ตะโกนเรียกผู้โดยสารได้ดี โดยเฉพาะสำเนียงอันเป็นเอกลักษณ์ของคิวรถไปจะนะที่ร้องว่า “#จะนะ #จะนะ #จะนะ” หรือลีลาการเรียกชื่อหมู่บ้านเป็นบทกลอนของสายบ้านหาน “ท่าหาด บ้านหาน บางทีง ยางหักบางหยี บางกล่ำ…” นี่คือภาพจำของหาดใหญ่ที่ผมรู้จักเป็นพิเศษ
ในค่ำคืนของวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ ผมมีโอกาสได้ย้อนกลับไปเยือนย่านที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้อีกครั้ง พร้อมกับพี่ Nukio Luna Jan สถาปนิกชุมชนที่มาพำนักหาดใหญ่ชั่วคราว เราเริ่มต้นสำรวจจากวงเวียนน้ำพุ ถิ่นฐานของชาวมุสลิมซึ่งมีมัสยิดถึงสองหลัง ก่อนจะเดินลัดเลาะมาจนถึงตลาดสดพล่าซ่า
ท่ามกลางความพลุกพล่านและแผงค้ามากมาย สายตาของเราก็สะดุดเข้ากับร้านเล็ก ๆ ของ “มะแก่” (ยาย) ท่านหนึ่งที่ตั้งร้านแบบ “แบกะดิน” สินค้าที่วางขายคือพืชผักพื้นบ้านไม่กี่ชนิด ทั้ง #หน่อไม้ #ลูกตอ #ใบส้มมวง(ชะมวง) #ลูกเนียง และ #ลูกกรูด ที่เหลือไม่มากนัก เราไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปพูดคุยและขอถ่ายรูปท่านไว้เป็นที่ระลึก





“ของปลูกเองในสวน ไม่ได้ซื้อหามา” มะแก่เอ่ยขึ้นเมื่อเราไปถึง
“มะแก่” ท่านนี้มีชื่อว่า ย๊ะ นามสกุล ชอบงาม ปัจจุบันอายุ ๗๘ ปี ท่านเป็นคน “บ้านท่าช้าง” หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมคลองอู่ตะเภาเช่นเดียวกับบ้านควนของผม ห่างกันเพียงประมาณ ๖ กิโลเมตร
“มะแก่ย๊ะ” เล่าว่า ท่านมาขายผักที่ตลาดนี้ทุกวัน โดยมาพร้อมกับหลานซึ่งเปิดร้านขายน้ำชาอยู่ไม่ไกลกัน ท่านจะเริ่มขายตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงเที่ยงคืนแล้วจึงกลับบ้านพร้อมหลาน ๆ “ชอบอาชีพค้าขายมาก ทำมาตั้งเเต่สาว ๆ อายุ ๑๕ ปีก็ขายของแล้ว” มะแก่ย๊ะเล่าด้วยแววตาเปี่ยมประสบการณ์
เรื่องราวของท่านพาเราย้อนเวลากลับไปในยุคที่คลองอู่ตะเภาคือเส้นทางคมนาคมหลัก “สมัยก่อนจะนั่งเรือจากบ้านท่าช้างมาขายของที่หาดใหญ่ มาทางคลองอู่ตะเภา บางวันขึ้นที่บริเวณบ้านท่าไทร ค่าเรือ ๑ บาท แล้วเดินทูนของขายไปตามเส้นทาง บางวันไปขึ้นที่ท่าเรือบริเวณวัดหาดใหญ่ใน ค่าเรือ ๒ บาท ต้องต่อรถสามล้อถีบอีก 1 บาท เข้ามาที่หาดใหญ่ สมัยก่อนไปขายที่บริเวณใกล้ ๆ ตลาดกิมหยง ตรงตลาดพล่าซ่ายังไม่มีตลาด…”
“คนขับเรือมีใครบ้างครับมะแก่” ผมเอ่ยถาม
คำตอบของท่านคือหน้าประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต มะแก่ย๊ะไล่เรียงชื่อเท่าที่ท่านจำได้ ซึ่งมีทั้งคนไทยและคนแขก (ชาวไทยมุสลิม) “หลวงแบน หลวงเพียน” (หลวง เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อคนไทยที่ผ่านการบวชพระมาแล้ว)ส่วนคนแขก ก็มีชื่อหมุด เป็นคนบ้านควน เรื่องเล่าของมะแก่ย๊ะสะท้อนภาพความงดงามของพื้นที่ปลายน้ำคลองอู่ตะเภาแห่งนี้ อันเป็นถิ่นฐานของผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมที่ “แหลงไทยถิ่นใต้” เหมือนกัน เราจึงพบว่าผู้คนต่างวัฒนธรรมมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของกันและกันอย่างลึกซึ้ง ดังเช่นที่มะแก่ย๊ะเล่าว่า คนไทยจะเข้าใจและเรียกคนแขกที่ผ่านการทำฮัจยีมาแล้วว่า “ยี” นำหน้าชื่อ เช่นเดียวกับที่คนแขกเรียกคนไทยที่เคยบวชว่า “หลวง” ไม่เพียงเท่านั้น แม้คำเรียกเครือญาติของคนไทยแถบนี้จะแตกต่างจากคนแขกซึ่งใช้คำมลายู-ชวา แต่คนไทยก็มีความเข้าใจและสามารถใช้เรียกขานได้อย่างถูกต้องตามจารีตของคนแขก สิ่งเหล่านี้คือความงดงามของการอยู่ร่วมกันที่ฝังรากลึกในพื้นที่แห่งนี้



ก่อนจากกัน มะแก่ย๊ะเล่าเสริมว่า “ปะ” (พ่อ) ของท่านเป็นคน #บ้านเกาะในไร่ (ใกล้เกาะนางคำ) ตำบลเกาะนางคำ อำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง ซึ่งแต่งงานกับ “มะ” (แม่) ของท่านที่เป็นคนบ้านท่าช้าง จังหวัดสงขลา มะแก่ย๊ะเกิดที่บ้านเกาะในไร่และใช้ชีวิตวัยเด็กที่นั่น ก่อนที่ปะกับมะจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านท่าช้างเมื่อท่านจำความได้ ค่ำคืนนั้น การได้พบกับมะแก่ย๊ะ ไม่ใช่เพียงการซื้อผักพื้นบ้าน แต่คือการได้พบกับประวัติศาสตร์ที่มีลมหายใจ ท่านคือผู้บันทึกความทรงจำของลำคลองอู่ตะเภา คือสัญลักษณ์ของอาชีพค้าขายที่ยืนยง และคือตัวแทนของความงดงามทางวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในตลาดพล่าซ่ายามค่ำคืนแห่งนี้